แม้ว่ากระต่ายจะมีมานาน ในเมืองไทย แต่จะมีผู้เลี้ยงซักกี่คน ที่สนใจจะเรียนรู้ภาษากระต่าย เพราะว่า กระต่ายพูดไม่ได้ เราจึงเข้าใจในกระต่ายได้ยาก แต่กระต่ายก็มีภาษากายนะคะ หากเราค่อยๆสังเกต และทำความข้าใจ เราก็จะเข้าใจในสิ่งที่เค้าพยายามสื่อสารกับเราได้ค่ะ
ภาษากระต่าย
1. กระต่ายไม่ค่อยร้อง และสื่อสารกันด้วยกลิ่น
ถึงแม้ว่ากระต่ายเป็นสัตว์สังคม แต่ว่าพวกเค้าไม่มีการทักทายกันที่ส่งเสียงดังเหมือนเดียวกับสัตว์อื่น ๆ เช่นสุนัข หรือแมว นั่นเป็นเพราะว่าพวกเค้า เป็นผู้ถูกล่า และการส่งเสียงดังนั้นย่อมเป็นการบอกให้สัตว์ต่าง ๆ ที่เป็นผู้ล่านั้น
รู้ถึงตำแหน่งของพวกเค้า ดังนั้นเค้าจะเงียบ และใช้กลิ่นในการสื่อสารกันเสียส่วนใหญ่ค่ะ ซึ่งการใช้กลิ่นสำหรับกระต่ายนั้น สำคัญมากค่ะ และกระต่ายมีจมูกที่ไวมาก นับเป็นการสื่อสาร ที่พัฒนาไปมากที่สุดของกระต่ายก็ว่าได้
การใช้กลิ่นนั้น ก็เหมือนกับเป็นบันทึกลับที่กระต่ายบันทึกเอาไว้ให้แก่กันและกัน จะมีเฉพาะกระต่ายที่เข้าใจกัน เช่น เค้าสามารถจะบอกกันได้ว่า ที่ตรงนี้เป็นอาณาเขตของเค้าหรือเปล่า โดยไม่ต้องพูดกันซักคำ นอกจากนี้ กลิ่นยังเป็นประโยชน์อย่างมากในการสื่อสารในที่มืด หรือในยามที่ กระต่ายไม่ต้องการให้ตัวเค้าเป็นที่สนใจ ของสัตว์อื่น ๆ โดยเฉพาะผู้ล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสัตว์ที่มีผู้ล่ามากมายเช่นกระต่าย
นอกจากนี้ กระต่ายนั้น ก็มักจะไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อเค้ารู้สึกเจ็บปวดหรือหวาดกลัว
ซึ่งทำให้การแสดงออกต่าง ๆ ของกระต่ายนั้น มักจะไม่ทำให้เจ้าของสังเกต เพราะว่าการแสดงออก ถึงความอ่อนแอ หากอยู่ในธรรมชาติ เค้าจะตกเป็นเป้าโจมตีของศัตรูได้ง่าย และด้วยความที่เค้าไม่ร้อง เลยทำให้เราคาดคะเนได้ยากว่าเค้าต้องการอะไร หรือป่วยหรือไม่
2. การส่งเสียงร้อง
ตามปกติกระต่ายจะไม่ค่อยส่งเสียงร้องพร่ำเพรื่อค่ะ แต่จะร้องเสียงดังเมื่อเจ็บปวด
3. อาการก้าวร้าว
ปกติแล้วกระต่ายจะอ่อนโยน สุภาพ แต่หากเค้ากลัวมากๆ เค้าก็อาจจะมีอาการก้าวร้าวเช่น กัด หรือ ถีบได้ หากเป็นแบบนี้แปลว่าเค้าไม่ไว้ใจเราค่ะ เราต้องอาศัยเวลาเพื่อให้เค้ารู้ว่า เรารักและจะไม่ทำร้ายเค้า พยายามอย่าทำให้เค้าตกใจกลัว
วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553
คิดก่อนเลี้ยง
หลงรักกระต่ายเข้าแล้วใช่ไหมคะ แต่ว่าก่อนที่เพื่อนๆ จะหยิบตังก์ออกไปเลือกหาเพื่อนตัวน้อยที่แสนจะน่ารักนี้ มาครอบครอง เรามาศึกษากันดูก่อนดีไหมคะ ว่ากระต่าย เหมาะกับเพื่อนๆ จริงๆหรือเปล่า
ข้อดี ข้อเสีย
1. กระต่ายเป็นสัตว์ที่อายุยืน ก่อนเลี้ยงท่านต้องคิดก่อนว่า ท่านสามารถจะดูแลกระต่ายได้ จนถึงวันสิ้นอายุขัยหรือไม่ หลายๆครั้งที่พบว่า กระต่ายได้ถูกทอดทิ้ง เพียงเพราะเจ้าของเบื่อหน่าย หรือ เพราะต้องย้ายที่อยู่ เช่น ใครที่อยู่อพาร์ตเมนท์ช่วงสั้นๆ แล้วรู้ว่า ในอนาคตต้องย้ายไปอยู่บ้าน ไม่สามารถจะเลี้ยงกระต่ายได้ ก็ควรจะคิดให้ดีก่อน
2. กระต่ายเป็นสัตว์ที่ออกลูกดก สามารถจะออกลูกได้ปีละ 5 ครอกเลยทีเดียว แต่ละครอกอาจจะมีมากถึง 8 ตัวเป็นต้น ดังนั้นหากท่านคิดจะเลี้ยง ควรจะคิดให้ดี ว่าจะทำอย่างไรกับลูกกระต่าย หากท่านไม่อยากรับภาระเรื่องลูกกระต่าย ท่านควรจะเลือกเลี้ยงกระต่ายเป็นเพศเมียทั้งหมด
3. กระต่ายเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร และกินอาหารเม็ดด้วยเช่นกัน แต่เพื่อสุขภาพที่ดี ท่านต้องให้อาหารจพวกผัก และ ผลไม้แก่กระต่ายด้วย
4. กระต่ายเป็นสัตว์ที่ขับถ่ายเยอะ ปัสสาวะ และอุจจาระ หากไม่ได้รับการดูแลเรื่องความสะอาดให้ดีพอ
จะมีกลิ่นค่อนข้างมาก
5. กระต่ายเป้นสัตว์ที่สุภาพ น่ารัก สะอาด ตัวของกระต่ายจะไม่มีกลิ่นเหม็น
6. กระต่ายไม่ส่งเสียงร้องพร่ำเพรื่อ ท่านสามารถจะเลี้ยงในบ้านหรืออพาร์ตเมนท์ได้
7. กระต่ายก็เหมือนกับคนค่ะ เจ็บป่วยได้ แต่ว่าหมอที่รักษากระต่ายได้นั้น ควรจะเป็นคุณหมอที่รู้จักกระต่าย ดีพอ ไม่ใช่คลินิคสัตวแพทย์ทั่วไป ดังนั้นค่าใช่จ่ายในการรักษาก็มีเช่นกัน หากเค้าป่วย เพื่อนๆ สามารถจะรับผิดชอบ พาเค้าไปหาหมอได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ อย่าเลี้ยงเลยค่ะ สงสารเค้า
ข้อดี ข้อเสีย
1. กระต่ายเป็นสัตว์ที่อายุยืน ก่อนเลี้ยงท่านต้องคิดก่อนว่า ท่านสามารถจะดูแลกระต่ายได้ จนถึงวันสิ้นอายุขัยหรือไม่ หลายๆครั้งที่พบว่า กระต่ายได้ถูกทอดทิ้ง เพียงเพราะเจ้าของเบื่อหน่าย หรือ เพราะต้องย้ายที่อยู่ เช่น ใครที่อยู่อพาร์ตเมนท์ช่วงสั้นๆ แล้วรู้ว่า ในอนาคตต้องย้ายไปอยู่บ้าน ไม่สามารถจะเลี้ยงกระต่ายได้ ก็ควรจะคิดให้ดีก่อน
2. กระต่ายเป็นสัตว์ที่ออกลูกดก สามารถจะออกลูกได้ปีละ 5 ครอกเลยทีเดียว แต่ละครอกอาจจะมีมากถึง 8 ตัวเป็นต้น ดังนั้นหากท่านคิดจะเลี้ยง ควรจะคิดให้ดี ว่าจะทำอย่างไรกับลูกกระต่าย หากท่านไม่อยากรับภาระเรื่องลูกกระต่าย ท่านควรจะเลือกเลี้ยงกระต่ายเป็นเพศเมียทั้งหมด
3. กระต่ายเป็นสัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร และกินอาหารเม็ดด้วยเช่นกัน แต่เพื่อสุขภาพที่ดี ท่านต้องให้อาหารจพวกผัก และ ผลไม้แก่กระต่ายด้วย
4. กระต่ายเป็นสัตว์ที่ขับถ่ายเยอะ ปัสสาวะ และอุจจาระ หากไม่ได้รับการดูแลเรื่องความสะอาดให้ดีพอ
จะมีกลิ่นค่อนข้างมาก
5. กระต่ายเป้นสัตว์ที่สุภาพ น่ารัก สะอาด ตัวของกระต่ายจะไม่มีกลิ่นเหม็น
6. กระต่ายไม่ส่งเสียงร้องพร่ำเพรื่อ ท่านสามารถจะเลี้ยงในบ้านหรืออพาร์ตเมนท์ได้
7. กระต่ายก็เหมือนกับคนค่ะ เจ็บป่วยได้ แต่ว่าหมอที่รักษากระต่ายได้นั้น ควรจะเป็นคุณหมอที่รู้จักกระต่าย ดีพอ ไม่ใช่คลินิคสัตวแพทย์ทั่วไป ดังนั้นค่าใช่จ่ายในการรักษาก็มีเช่นกัน หากเค้าป่วย เพื่อนๆ สามารถจะรับผิดชอบ พาเค้าไปหาหมอได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ อย่าเลี้ยงเลยค่ะ สงสารเค้า
เลี้ยงตัวเดียวได้หรอ
ที่จริงแล้ว กระต่ายเป็นสัตว์สังคมค่ะ จริงๆแล้ว เค้าต้องการเพื่อน เพื่อนๆ หลายๆคนอาจจะนึกค้านในใจว่า "ก็เจ้าของนี่หละ คือเพื่อน ของกระต่าย" แต่จริงๆแล้ว ก็ไม่ถูกเสียทีเดียวหรอกค่ะ เพราะว่า ถ้ากระต่ายจะมีเจ้าของเป็นเพื่อน แต่เค้าก็ต้องการเพื่อนชนิด เดียวกันด้วย เราไม่สามารถจะเข้าไปแทนที่ได้ หรอกค่ะ
ลองนึกง่ายๆ มันก็เหมือนกับเอาคน ๆ นึงไปขังไว้ในห้อง ที่มีแต่กระต่ายอยู่เป็นเพื่อน ไม่ให้คนๆนั้นไปเจอ มนุษย์คนอื่นเลย แน่นอนค่ะ นานๆ เข้า คนๆนั้นก็จะเหงา และ เบื่อ อยากเจอใครที่เหมือนกัน คุยกันได้รู้เรื่อง น้องกระต่ายก็ไม่ต่างกับเราค่ะ
ทีนี้เพื่อนๆ ก็คงจะเกิดคำถามแล้วสิ ว่า อ้าว แล้วงี้จะเลี้ยงกี่ตัวดีล่ะ
จะเลี้ยงกี่ตัวดี
ในเมื่อการเลี้ยงตัวเดียว จะทำให้น้องกระต่ายเหงา เราจึงควรจะเลี้ยงเป็นคู่ค่ะ แต่ไม่แนะนำให้เลี้ยงเป็นฝูงๆ เพราะว่า พอกระต่ายเริ่มเต็มบ้าน จากเดิมที่เพื่อนๆ เคยสนุก เพื่อนๆ จะรู้สึกว่า เค้าเป็น�� าระ อย่างเช่น เมื่อทำความสะอาดกรง หรือว่า อาบน้ำ แต่ละครั้ง เพื่อนๆ ก็จะเบื่อหน่ายที่วันหยุดของเพื่อนๆ หมดไปทั้งวัน และขี้เกียจ แล้วก็พาลลงกับน้องกระต่ายเหล่านั้นค่ะ เค้าจะเริ่มโดนทิ้งขว้าง ไม่ดูแลอย่างดีเหมือนตอนที่เพื่อนๆ เริ่มเลี้ยงใหม่ๆ
จะเลี้ยงเพศอะไร กับ อะไรดีล่ะ
เพศ ผู้ - เมีย
ที่จริงแล้ว กระต่ายเป็นสัตว์ที่ ขยั๊นขยัน ในการ ผสมพันธุ์ค่ะ ถ้าเพื่อนๆ ไม่อยากจะมีปัญหา เรื่องลูกกระต่ายเต็มบ้านล่ะก็ แนะนำเลยค่ะ ว่าให้ทำหมันตัวผู้ซะ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด เลี้ยงเพศ เมียกับเพศเมีย ดีกว่า
เพศ เมีย - เมีย
ควรเลือกตัวเมีย กับตัวเมียค่ะดีที่สุด ยิ่งถ้าซื้อมาด้วยกัน ตั้งแต่เล็ก ปัญหาว่า จะอยู่ด้วยกันไม่ได้เนี่ยแทบจะไม่มี
เพศ ผู้- ผู้
อันนี้ไม่แนะนำค่ะ เพราะว่าตอนเด็กๆ ก็จะดีอยู่หรอกค่ะ อยู่กันปรองดอง แต่เมื่อเค้าโตเป็นหนุ่ม ล่ะก็ มักจะกัดกันค่ะ จะชิงความเป็นใหญ่กันค่ะ
ลองนึกง่ายๆ มันก็เหมือนกับเอาคน ๆ นึงไปขังไว้ในห้อง ที่มีแต่กระต่ายอยู่เป็นเพื่อน ไม่ให้คนๆนั้นไปเจอ มนุษย์คนอื่นเลย แน่นอนค่ะ นานๆ เข้า คนๆนั้นก็จะเหงา และ เบื่อ อยากเจอใครที่เหมือนกัน คุยกันได้รู้เรื่อง น้องกระต่ายก็ไม่ต่างกับเราค่ะ
ทีนี้เพื่อนๆ ก็คงจะเกิดคำถามแล้วสิ ว่า อ้าว แล้วงี้จะเลี้ยงกี่ตัวดีล่ะ
จะเลี้ยงกี่ตัวดี
ในเมื่อการเลี้ยงตัวเดียว จะทำให้น้องกระต่ายเหงา เราจึงควรจะเลี้ยงเป็นคู่ค่ะ แต่ไม่แนะนำให้เลี้ยงเป็นฝูงๆ เพราะว่า พอกระต่ายเริ่มเต็มบ้าน จากเดิมที่เพื่อนๆ เคยสนุก เพื่อนๆ จะรู้สึกว่า เค้าเป็น�� าระ อย่างเช่น เมื่อทำความสะอาดกรง หรือว่า อาบน้ำ แต่ละครั้ง เพื่อนๆ ก็จะเบื่อหน่ายที่วันหยุดของเพื่อนๆ หมดไปทั้งวัน และขี้เกียจ แล้วก็พาลลงกับน้องกระต่ายเหล่านั้นค่ะ เค้าจะเริ่มโดนทิ้งขว้าง ไม่ดูแลอย่างดีเหมือนตอนที่เพื่อนๆ เริ่มเลี้ยงใหม่ๆ
จะเลี้ยงเพศอะไร กับ อะไรดีล่ะ
เพศ ผู้ - เมีย
ที่จริงแล้ว กระต่ายเป็นสัตว์ที่ ขยั๊นขยัน ในการ ผสมพันธุ์ค่ะ ถ้าเพื่อนๆ ไม่อยากจะมีปัญหา เรื่องลูกกระต่ายเต็มบ้านล่ะก็ แนะนำเลยค่ะ ว่าให้ทำหมันตัวผู้ซะ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด เลี้ยงเพศ เมียกับเพศเมีย ดีกว่า
เพศ เมีย - เมีย
ควรเลือกตัวเมีย กับตัวเมียค่ะดีที่สุด ยิ่งถ้าซื้อมาด้วยกัน ตั้งแต่เล็ก ปัญหาว่า จะอยู่ด้วยกันไม่ได้เนี่ยแทบจะไม่มี
เพศ ผู้- ผู้
อันนี้ไม่แนะนำค่ะ เพราะว่าตอนเด็กๆ ก็จะดีอยู่หรอกค่ะ อยู่กันปรองดอง แต่เมื่อเค้าโตเป็นหนุ่ม ล่ะก็ มักจะกัดกันค่ะ จะชิงความเป็นใหญ่กันค่ะ
การเลือกซื้ออุปกรณ์
1. กรง
อันนี้สำคัญค่ะ การมีกรงที่เหมาะสม ก็จะทำให้กระต่ายมีความสุขค่ะ เพราะอย่าลืมว่า กระต่ายส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรง มากกว่าข้างนอก ดังนั้นกรงควรจะสะอาด ระบายอากาศดี และมีความกว้างขวางเพียงพอค่ะ นอกจากนี้เราควรจะเลือกกรงที่เป็นพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ เพราะว่า อย่างที่เรารู้กัน กระต่ายต้องกินอึบางชนิดกลับเข้าไป (เพราะเป็นสัตว์กินพืช เมื่อกระต่ายกินอาหาร เข้าไปซึ่งจะย่อยยาก แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ตอนต้นของกระต่าย จะทำการผลิตวิตามิน ที่มีประโยชน์ให้กับกระต่าย ซึ่งสารอาหารที่มีประโยชน์จากแบคทีเรียกนี้ บางส่วนจะโดนขับออกมา กับอึของกระต่าย ซึ่งได้แก่ โปรตีน และวิตามิน B ซึ่งบางครั้งกระต่ายจะต้องกินกลับเข้าไป เพื่อรักษาสมดุลย์ธรรมชาติของร่างกายเค้าค่ะ)
หากเราเลี้ยงแบบที่พื้นเป็นซี่กรง อึนี้จะตกลงไประหว่างซี่กรง ทำให้กระต่ายไม่สามารถจะกินได้ค่ะ ดังนั้นการเลี้ยงในกรงพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ
การเลือกกรงที่ดีนั้น กรงควรจะใหญ่กว่าตัวกระต่ายประมาณ 4 เท่า จึงจะดีค่ะ
ขนาดกรงที่เหมาะสมสำหรับกระต่ายเล็กคือประมาณ 25 X 35 นิ้วค่ะ
ส่วนกระต่ายโต ขนาดประมาณ 30 X 35 นิ้วค่ะ เราควรจะเลือกกรงที่ไม่เตี้ยเกินไป เพื่อให้กระต่ายสามารถจะยืน 2 ขาได้
2. กระบอกน้ำ จะช่วยให้กระต่ายมีน้ำที่สะอาดกิน เราไม่ควรจะใส่น้ำลงในภาชนะ เพราะว่า เศษอาหาร อุจจาระ และผักหญ้า อาจจะตกหล่นลงไปในน้ำ จะทำให้เน่าเสีย และทำให้กระต่ายท้องเสียอีกด้วย การเลือกซื้อกระบอกน้ำ เราควรจะซื้อกระบอกน้ำอย่างดีไปเลยค่ะ อย่ามัวเสียดาย เพราะว่า กระต่ายตัวนึงมีอายุขัยตั้งเกือบ 10 ปี เราซื้อกระบอกน้ำอย่างดี ใช้นานๆ แบบไม่มีปัญหาการรั่วซึม ดีกว่าค่ะ เพราะว่าอากาศบ้านเรานั้น ร้อนมาก หากกระบอกน้ำไม่ดี น้ำไม่ไหล อาจจะทำให้กระต่ายตายได้นะคะ
อันนี้สำคัญค่ะ การมีกรงที่เหมาะสม ก็จะทำให้กระต่ายมีความสุขค่ะ เพราะอย่าลืมว่า กระต่ายส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรง มากกว่าข้างนอก ดังนั้นกรงควรจะสะอาด ระบายอากาศดี และมีความกว้างขวางเพียงพอค่ะ นอกจากนี้เราควรจะเลือกกรงที่เป็นพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ เพราะว่า อย่างที่เรารู้กัน กระต่ายต้องกินอึบางชนิดกลับเข้าไป (เพราะเป็นสัตว์กินพืช เมื่อกระต่ายกินอาหาร เข้าไปซึ่งจะย่อยยาก แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ตอนต้นของกระต่าย จะทำการผลิตวิตามิน ที่มีประโยชน์ให้กับกระต่าย ซึ่งสารอาหารที่มีประโยชน์จากแบคทีเรียกนี้ บางส่วนจะโดนขับออกมา กับอึของกระต่าย ซึ่งได้แก่ โปรตีน และวิตามิน B ซึ่งบางครั้งกระต่ายจะต้องกินกลับเข้าไป เพื่อรักษาสมดุลย์ธรรมชาติของร่างกายเค้าค่ะ)
หากเราเลี้ยงแบบที่พื้นเป็นซี่กรง อึนี้จะตกลงไประหว่างซี่กรง ทำให้กระต่ายไม่สามารถจะกินได้ค่ะ ดังนั้นการเลี้ยงในกรงพื้นทึบจะดีกว่าค่ะ
การเลือกกรงที่ดีนั้น กรงควรจะใหญ่กว่าตัวกระต่ายประมาณ 4 เท่า จึงจะดีค่ะ
ขนาดกรงที่เหมาะสมสำหรับกระต่ายเล็กคือประมาณ 25 X 35 นิ้วค่ะ
ส่วนกระต่ายโต ขนาดประมาณ 30 X 35 นิ้วค่ะ เราควรจะเลือกกรงที่ไม่เตี้ยเกินไป เพื่อให้กระต่ายสามารถจะยืน 2 ขาได้
2. กระบอกน้ำ จะช่วยให้กระต่ายมีน้ำที่สะอาดกิน เราไม่ควรจะใส่น้ำลงในภาชนะ เพราะว่า เศษอาหาร อุจจาระ และผักหญ้า อาจจะตกหล่นลงไปในน้ำ จะทำให้เน่าเสีย และทำให้กระต่ายท้องเสียอีกด้วย การเลือกซื้อกระบอกน้ำ เราควรจะซื้อกระบอกน้ำอย่างดีไปเลยค่ะ อย่ามัวเสียดาย เพราะว่า กระต่ายตัวนึงมีอายุขัยตั้งเกือบ 10 ปี เราซื้อกระบอกน้ำอย่างดี ใช้นานๆ แบบไม่มีปัญหาการรั่วซึม ดีกว่าค่ะ เพราะว่าอากาศบ้านเรานั้น ร้อนมาก หากกระบอกน้ำไม่ดี น้ำไม่ไหล อาจจะทำให้กระต่ายตายได้นะคะ
การเปลี่ยนอาหาร
เพื่อนๆ อาจจะกลัวว่า น้องต่ายจะเบื่อ ไม่เจริญอาหาร แล้วก็เห็นอาหาร ญี่ห้อต่างๆ น่ากินกว่าที่น้องต่ายกำลังกินอยู่ ก็เลยซื้อกลับบ้านมา แล้วก็เปลี่ยนแทนอาหารเก่าซะเลย แต่ผลที่ได้คือ น้องกระต่ายท้องเสีย
ทำไมเปลี่ยนอาหารปุบปับจึงทำให้ท้องเสีย
นั่นแน่ เริ่มเกิดคำถามแล้วใช่ไหมเอ่ย ว่าทำไมกระต่ายจึงท้องเสียถ้าเปลี่ยนอาหารแบบทันทีทันใด ทีคนอย่างเราๆยังไม่เห็นเป็นไรเลย
สาเหตุก็คือ ระบบย่อยอาหารของกระต่ายไม่เหมือนคนค่ะ เพราะว่าการย่อยอาหาร ของกระต่ายจะต้องอาศัยแบคทีเรียชนิดที่เป็นตัวพระเอก ที่อาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของกระต่าย มาช่วยย่อยอาหารค่ะ แต่การปรับเปลี่ยนอาหารแบบฉับพลัน แบคทีเรียตัวจิ๊ดเดียวก็ปรับตัวไม่ทันเหมือนกัน ก็เลยทำให้ แบคทีเรียที่ชนิดที่เป็นตัวพระเอกที่ช่วยย่อยเกิดเสียสมดุลย์ขึ้นมา แล้วก็ทำให้แบคทีเรียชนิดที่เป็นฝั่งผู้ร้าย ที่เป็นตัวทำให้เกิดโรคเกิดฮึกเหิมขึ้นมา สำแดงเดช เลยทำให้กระต่ายเกิดอาการท้องเสียแบบที่เราเรียกกันน่านหละ
เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนอาหารจึงต้องค่อยๆเปลี่ยนค่ะ ให้เวลาแบคทีเรียพระเอกของเราปรับตัวนี๊ดนึง ในการค่อยๆเปลี่ยนเอาอาหารใหม่มาแทนที่อาหารเก่า โดยเริ่มต้นก็ให้อาหารเก่าไปก่อนแล้วเอาอาหารใหม่ผสมลงไปแค่นิดเดียว แล้วค่อยๆเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่เพิ่มขึ้นทีละนิดในมื้อถัดไป จนกระทั่ง แทนที่อาหารเก่าด้วยอาหารใหม่ทั้งหมด โดยให้เวลาเค้าปรับตัวอย่างน้อย 1 สัปดาห์ค่ะ
โดยเฉพาะลูกกระต่ายที่เพิ่งซื้อมา หรือเพิ่งหย่านมยิ่งไม่ควรเปลี่ยนอาหารแบบฉับพลัย ควรให้อาหารเก่าไปก่อนซักระยะค่ะ แล้วค่อยๆปรับแบบที่กล่าวมา ยิ่งถ้าใครซื้อลูกกระต่ายมาใหม่ๆ ควรจะถามคนขายว่าเดิมเค้าให้อาหารอะไรอยู่ แล้วก็ซื้ออาหารนั้นติดกลับมาด้วยค่ะ เพราะไหนลูกกระต่ายจะเครียดจากการย้ายบ้านใหม่ หากเจอเรื่องการเปลี่ยนแปลงอาหารแบบปุบปับอีก จะทำให้ท้องเสียได้ง่ายๆเลยเชียวค่ะ แล้วอาการท้องเสียในกระต่ายถือเป็นเรื่องร้ายแรงเลยนะคะ เพราะว่า กระต่ายจะอาการทรุดเพราะ ขาดน้ำ และเสียชีวิตได้เร็วมาก
การให้ผักผลไม้ก็เช่นกัน
ไม่ใช่แค่อาหารค่ะ การให้ผักผลไม้ก็เช่นเดียวกันค่ะ ถ้าลูกกระต่ายยังเล็ก ในช่วงแรกๆ ยังไม่แนะนำให้ให้ผักและผลไม้ เพราะว่า อาจจะเกิดท้องเสียได้ ควรรอให้หญ้าไปก่อน และค่อยๆหัดให้ผักและผลไม้ หลังจากที่ลูกกระต่ายอายุ ประมาณ 3 เดือน โดยการให้ผักผลไม้นั้น ก็ควรจะค่อยๆ ให้แค่ชิ้นเล็กๆ ให้วันละครั้ง ครั้งละนิด แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณทีละน้อย แบบเดียวกับอาหารเลยค่ะ เพื่อให้กระต่ายปรับตัวได้ค่ะ
ทำไมกระต่ายตามธรรมชาติไม่เห็นเป็นไร
ก็เพราะว่า ธรรมชาติ ไม่เคยเปลี่ยนอาหารกระต่ายแบบฉับพลันค่ะ ธรรมชาติมีฤดูกาล และเมื่อฤดูกาลหนึ่งกำลังเปลี่ยนไป ฤดูกาลใหม่ก็จะค่อยๆเข้ามาแทนที่ กระต่ายก็มีเวลาที่จะปรับตัวทีละน้อยๆ ไปตามธรรมชาติ
เรื่องนี้อาจจะเป็นเหมือนเรื่องเล็กๆ ที่หลายๆคนอาจจะมองข้าม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเพื่อนตัวน้อยๆ ของเรา เพราะ ว่าหากเรารู้จักเค้าดีพอเราก็จะได้สามารถเลี้ยงเค้าให้เติบโตขึ้นมาได้ อย่างถูกต้อง มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และอยู่กับเราได้นานๆค่ะ
ทำไมเปลี่ยนอาหารปุบปับจึงทำให้ท้องเสีย
นั่นแน่ เริ่มเกิดคำถามแล้วใช่ไหมเอ่ย ว่าทำไมกระต่ายจึงท้องเสียถ้าเปลี่ยนอาหารแบบทันทีทันใด ทีคนอย่างเราๆยังไม่เห็นเป็นไรเลย
สาเหตุก็คือ ระบบย่อยอาหารของกระต่ายไม่เหมือนคนค่ะ เพราะว่าการย่อยอาหาร ของกระต่ายจะต้องอาศัยแบคทีเรียชนิดที่เป็นตัวพระเอก ที่อาศัยอยู่ในระบบย่อยอาหารของกระต่าย มาช่วยย่อยอาหารค่ะ แต่การปรับเปลี่ยนอาหารแบบฉับพลัน แบคทีเรียตัวจิ๊ดเดียวก็ปรับตัวไม่ทันเหมือนกัน ก็เลยทำให้ แบคทีเรียที่ชนิดที่เป็นตัวพระเอกที่ช่วยย่อยเกิดเสียสมดุลย์ขึ้นมา แล้วก็ทำให้แบคทีเรียชนิดที่เป็นฝั่งผู้ร้าย ที่เป็นตัวทำให้เกิดโรคเกิดฮึกเหิมขึ้นมา สำแดงเดช เลยทำให้กระต่ายเกิดอาการท้องเสียแบบที่เราเรียกกันน่านหละ
เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนอาหารจึงต้องค่อยๆเปลี่ยนค่ะ ให้เวลาแบคทีเรียพระเอกของเราปรับตัวนี๊ดนึง ในการค่อยๆเปลี่ยนเอาอาหารใหม่มาแทนที่อาหารเก่า โดยเริ่มต้นก็ให้อาหารเก่าไปก่อนแล้วเอาอาหารใหม่ผสมลงไปแค่นิดเดียว แล้วค่อยๆเพิ่มอัตราส่วนอาหารใหม่เพิ่มขึ้นทีละนิดในมื้อถัดไป จนกระทั่ง แทนที่อาหารเก่าด้วยอาหารใหม่ทั้งหมด โดยให้เวลาเค้าปรับตัวอย่างน้อย 1 สัปดาห์ค่ะ
โดยเฉพาะลูกกระต่ายที่เพิ่งซื้อมา หรือเพิ่งหย่านมยิ่งไม่ควรเปลี่ยนอาหารแบบฉับพลัย ควรให้อาหารเก่าไปก่อนซักระยะค่ะ แล้วค่อยๆปรับแบบที่กล่าวมา ยิ่งถ้าใครซื้อลูกกระต่ายมาใหม่ๆ ควรจะถามคนขายว่าเดิมเค้าให้อาหารอะไรอยู่ แล้วก็ซื้ออาหารนั้นติดกลับมาด้วยค่ะ เพราะไหนลูกกระต่ายจะเครียดจากการย้ายบ้านใหม่ หากเจอเรื่องการเปลี่ยนแปลงอาหารแบบปุบปับอีก จะทำให้ท้องเสียได้ง่ายๆเลยเชียวค่ะ แล้วอาการท้องเสียในกระต่ายถือเป็นเรื่องร้ายแรงเลยนะคะ เพราะว่า กระต่ายจะอาการทรุดเพราะ ขาดน้ำ และเสียชีวิตได้เร็วมาก
การให้ผักผลไม้ก็เช่นกัน
ไม่ใช่แค่อาหารค่ะ การให้ผักผลไม้ก็เช่นเดียวกันค่ะ ถ้าลูกกระต่ายยังเล็ก ในช่วงแรกๆ ยังไม่แนะนำให้ให้ผักและผลไม้ เพราะว่า อาจจะเกิดท้องเสียได้ ควรรอให้หญ้าไปก่อน และค่อยๆหัดให้ผักและผลไม้ หลังจากที่ลูกกระต่ายอายุ ประมาณ 3 เดือน โดยการให้ผักผลไม้นั้น ก็ควรจะค่อยๆ ให้แค่ชิ้นเล็กๆ ให้วันละครั้ง ครั้งละนิด แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณทีละน้อย แบบเดียวกับอาหารเลยค่ะ เพื่อให้กระต่ายปรับตัวได้ค่ะ
ทำไมกระต่ายตามธรรมชาติไม่เห็นเป็นไร
ก็เพราะว่า ธรรมชาติ ไม่เคยเปลี่ยนอาหารกระต่ายแบบฉับพลันค่ะ ธรรมชาติมีฤดูกาล และเมื่อฤดูกาลหนึ่งกำลังเปลี่ยนไป ฤดูกาลใหม่ก็จะค่อยๆเข้ามาแทนที่ กระต่ายก็มีเวลาที่จะปรับตัวทีละน้อยๆ ไปตามธรรมชาติ
เรื่องนี้อาจจะเป็นเหมือนเรื่องเล็กๆ ที่หลายๆคนอาจจะมองข้าม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเพื่อนตัวน้อยๆ ของเรา เพราะ ว่าหากเรารู้จักเค้าดีพอเราก็จะได้สามารถเลี้ยงเค้าให้เติบโตขึ้นมาได้ อย่างถูกต้อง มีสุขภาพที่ดี แข็งแรง และอยู่กับเราได้นานๆค่ะ
ระวังกระต่ายไม่อย่านม
วิธีดูแล ลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านม
1. ให้ใช้นมสำหรับสัตว์กำพร้า เช่น นมแพะ หรือ Esbilac หรือ KMR (นมสำหรับลูกแมว) หรือหากยังหาได้ไม่ทัน ให้ป้อนนมวัวไปก่อน และรีบหานมแพะ หรือ Esbilac หรือ KMR มาแทนโดยเร็ว และค่อยๆป้อนลูกกระต่าย กระต่ายยังไม่หย่านม ที่นำมาขายกัน น่าจะมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ให้ป้อนประมาณ 30 cc ต่อวัน
2. หากมีกระต่ายตัวอื่นที่โตแล้ว ให้เอาอึ กระต่ายที่เรียกว่า cecotropes หรือ อึที่ลักษณะเหมือนพวงองุ่น ติดกัน สีออกเขียวขี้ม้าให้เอาอึนี้มาผสมกับ นมที่ป้อนลูกกระต่าย เพราะว่า ลูกกระต่ายต้องการ แบคทีเรียที่ใช้ในการย่อยอาหาร ซึ่งไม่สามารถจะได้รับจากแม่ เนื่องจากแยกจากแม่มาเร็วเกินไป โดยใช้อึ cecotropes แค่ 1 ก้อน สำหรับ 4-5 วัน ซึ่งจำเป็นมากๆ นะคะ สำหรับลูกกระต่ายที่โดนแยกออกมาทั้งๆที่ยังไม่หย่านม
3. สำหรับลูกกระต่าย ควรให้หญ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็น หญ้าขน หญ้าอัลฟาฟ่า หรือ ทิโมธี ก็ได้ค่ะ และหลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีน้ำมากๆ เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ ซึ่งถ้าลูกกระต่ายท้องเสีย ถือว่า อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายมากๆ และเมื่อลูกกระต่ายอายุ 6 สัปดาห์จึงค่อยเริ่มหัดให้กินอาหารเม็ด แต่ว่า
ที่สำคัญคือ ระยะการเปลี่ยนมากินอาหารเม็ดนี้ เป็นระยะที่เสี่ยงแก่การที่ลูกกระต่ายจะท้องเสีย เป็นอย่างมาก จึงควรหมั่นสังเกตตลอดว่า ลูกกระต่ายท้องเสียหรือไม่ ที่สำคัญในระยะที่เริ่มสอนให้ลูกกระต่ายกินอาหารเม็ด ห้ามไม่ให้เอาหญ้าออกนะคะ เพราะว่า การเปลี่ยนอาหารต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะระบบย่อยอาหารของลูกกระต่ายจะปรับตัวไม่ทัน และจะทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน ระยะแรกๆ ควรให้อาหารเม็ดแค่น้อยๆ เพื่อบังคับให้ลูกกระต่ายกินหญ้าไปด้วย แล้วค่อยๆเพิ่มทีหลังทีละนิดค่ะ ในระยะนี้ เราควรป้อน cecotropes หรือ อึพวงองุ่นให้ลูกกระต่ายด้วยค่ะ เพื่อเสริมแบคทีเรียที่จำเป็นต่อการย่อยค่ะ
4. นอกจากนี้ เราไม่ควรจะพาลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านม เดินทางไปไหน เพราะอาจจะ ตากแดด ตากลมมากเกินไปค่ะ เพราะเค้ายังอ่อนแอ ไม่ควรพาเดินทางค่ะ
สรุปว่า การเลี้ยงลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านมนั้น จะค่อนข้างลำบาก เพราะว่า ลูกกระต่ายเองก็เปราะบาง ไม่แข็งแรง และ เสียชีวิตได้ง่ายค่ะ แม้กระทั่งผู้เลี้ยงหลายๆคนที่เก่ง และเลี้ยงกระต่ายมานาน ยังพบปัญหาจากการที่ลูกกระต่ายท้องเสียตายอยู่บ่อยๆ
1. ให้ใช้นมสำหรับสัตว์กำพร้า เช่น นมแพะ หรือ Esbilac หรือ KMR (นมสำหรับลูกแมว) หรือหากยังหาได้ไม่ทัน ให้ป้อนนมวัวไปก่อน และรีบหานมแพะ หรือ Esbilac หรือ KMR มาแทนโดยเร็ว และค่อยๆป้อนลูกกระต่าย กระต่ายยังไม่หย่านม ที่นำมาขายกัน น่าจะมีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ให้ป้อนประมาณ 30 cc ต่อวัน
2. หากมีกระต่ายตัวอื่นที่โตแล้ว ให้เอาอึ กระต่ายที่เรียกว่า cecotropes หรือ อึที่ลักษณะเหมือนพวงองุ่น ติดกัน สีออกเขียวขี้ม้าให้เอาอึนี้มาผสมกับ นมที่ป้อนลูกกระต่าย เพราะว่า ลูกกระต่ายต้องการ แบคทีเรียที่ใช้ในการย่อยอาหาร ซึ่งไม่สามารถจะได้รับจากแม่ เนื่องจากแยกจากแม่มาเร็วเกินไป โดยใช้อึ cecotropes แค่ 1 ก้อน สำหรับ 4-5 วัน ซึ่งจำเป็นมากๆ นะคะ สำหรับลูกกระต่ายที่โดนแยกออกมาทั้งๆที่ยังไม่หย่านม
3. สำหรับลูกกระต่าย ควรให้หญ้าค่ะ ไม่ว่าจะเป็น หญ้าขน หญ้าอัลฟาฟ่า หรือ ทิโมธี ก็ได้ค่ะ และหลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีน้ำมากๆ เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ ซึ่งถ้าลูกกระต่ายท้องเสีย ถือว่า อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายมากๆ และเมื่อลูกกระต่ายอายุ 6 สัปดาห์จึงค่อยเริ่มหัดให้กินอาหารเม็ด แต่ว่า
ที่สำคัญคือ ระยะการเปลี่ยนมากินอาหารเม็ดนี้ เป็นระยะที่เสี่ยงแก่การที่ลูกกระต่ายจะท้องเสีย เป็นอย่างมาก จึงควรหมั่นสังเกตตลอดว่า ลูกกระต่ายท้องเสียหรือไม่ ที่สำคัญในระยะที่เริ่มสอนให้ลูกกระต่ายกินอาหารเม็ด ห้ามไม่ให้เอาหญ้าออกนะคะ เพราะว่า การเปลี่ยนอาหารต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะระบบย่อยอาหารของลูกกระต่ายจะปรับตัวไม่ทัน และจะทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน ระยะแรกๆ ควรให้อาหารเม็ดแค่น้อยๆ เพื่อบังคับให้ลูกกระต่ายกินหญ้าไปด้วย แล้วค่อยๆเพิ่มทีหลังทีละนิดค่ะ ในระยะนี้ เราควรป้อน cecotropes หรือ อึพวงองุ่นให้ลูกกระต่ายด้วยค่ะ เพื่อเสริมแบคทีเรียที่จำเป็นต่อการย่อยค่ะ
4. นอกจากนี้ เราไม่ควรจะพาลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านม เดินทางไปไหน เพราะอาจจะ ตากแดด ตากลมมากเกินไปค่ะ เพราะเค้ายังอ่อนแอ ไม่ควรพาเดินทางค่ะ
สรุปว่า การเลี้ยงลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านมนั้น จะค่อนข้างลำบาก เพราะว่า ลูกกระต่ายเองก็เปราะบาง ไม่แข็งแรง และ เสียชีวิตได้ง่ายค่ะ แม้กระทั่งผู้เลี้ยงหลายๆคนที่เก่ง และเลี้ยงกระต่ายมานาน ยังพบปัญหาจากการที่ลูกกระต่ายท้องเสียตายอยู่บ่อยๆ
กระต่ายพันธุ์ REX
มาดูลักษณะกระต่ายพันธุ์ Rex กันดีกว่า
กระต่ายพันธุ์ Rex นั้นไม่เหมือนพันธุ์อื่นๆ เค้าจะมีเสน่ห์ตรงเส้นขนนี่หละค่ะ เส้นขนกระต่าย Rex นั้นใครได้สัมผัส รับรองเลยจะต้องประทับใจ เส้นขนจะหนาแน่นนุ่ม เหมือนกับเราเอามือไปลูบบนผ้ากำมะหยี่ ยังไงยังงั้นเลยล่ะค่ะ ขนเค้าจะตั้งขึ้น สั้นเตียนแน่น ความยาวขนควรจะประมาณ 5/8 นิ้ว ลูบแล้วจะนุ่มมือมาก
แม้ว่าหน้าตาจะไม่น่ารัก เพราะว่า หน้าจะแหลมๆจรวดๆ หูตั้งค่ะ แต่ว่า ลองได้สัมผัสขนกำมะหยี่นุ่มๆ แล้วจะชอบค่ะ
แต่ว่า กระต่ายพันธุ์ Rex ที่เห็นขายอยู่ทั่วไปนั้น ก็มีทั้ง Rex แท้ๆและ Rex ลูกผสมค่ะ ที่เรียกว่า ลูกผสมก็เพราะว่า คนไทยหัวหมอ นำเอามาผสมกับกระต่ายไทย (อีกแล้ว - -") เพื่อลดต้นทุนนั่นเอง
แต่ว่าลักษณะของกระต่ายผสม และกระต่ายที่เป็น Rex แท้ๆนั้น ตอนเล็กจะดูยากเหมือนกัน แต่ยิ่งโตจะยิ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้น เพราะว่า ขนกระต่ายผสมจะไม่เป็นกำมะหยี่แน่นเหมือนกระต่าย Rex แท้ๆ แล้วราคาก็ต่างกันมากทีเดียว
กระต่าย Rex แท้ๆนั้น จะราคาไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ส่วนกระต่าย Rex ที่ผสมกับกระต่ายไทยมาขายนั้น ราคาจะอยู่ที่ 100-200 บาทก็มีค่ะ
ประวัติของกระต่าย Rex
กระต่ายพันธุ์ Rex นั้นเกิดจากการกลายพันธุ์ โดย Rex ที่พบครั้งแรกนั้นเป็นลูกของกระต่ายป่า ในประเทศ ฝรั่งเศส โดยพบในปี คศ 1919 แล้วต่อมาก็มีการพบกระต่าย Rex อีกตัวที่เป็นเพศตรงข้ามกับที่พบตัวแรก แล้วทั้งคู่ก็กลายมาเป็น ต้นกำเนิดของ Rex ในปัจจุบันนั่นเอง
คนที่ค้นพบเนี่ยเค้าเป็นชาวนาค่ะ และได้มีบาทหลวง ที่ชือว่า Gillet เป็นคนตั้งชื่อกระต่ายนี้ว่า Castor Rex โดยที่มีความหมายคือ
Castor แปลว่า สีเหมือนตัวบีเวอร์
ส่วนคำว่า Rex เป็น�� าษาละติน หมายถึง พระราชา เชียวนะคะ น่า�� ูมิใจใช่ม๊า
กระต่าย Rex จึงได้สมญาว่า "King of Rabbit" หรือ ราชาแห่งกระต่ายเชียวแหละ
ต่อมาในปี 1928 ก็ได้มี Rex สีใหม่ๆเกิดขึ้น และได้เป็นที่ยอมรับใน American Rabbit Breeders
และต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเป็นพันธุ์ใหม่ เรียกว่า Mini Rex และได้รับการยอมรับจาก ARBA ในปี 1986
เคยมีคนวิจารณ์ว่า Rex เนี่ยเป็นกระต่ายที่ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย แถมยังเป็นกระต่ายที่น่าเกลียดอีกต่างหาก เพราะว่า ขนก็สั้น หน้าก็แหลม ตัวก็ยาว ขาก็ยาวเบื๊อย ดูไปดูมายังกับจิงโจ้ยังไงยังงั้น
แต่ด้วยเส้นขนที่นุ่มแบบกำมะหยี่ เหมือนในอุดมคติที่หาไม่ได้ในกระต่ายพันธุ์ไหน ทำให้ Rex กลายเป็นกระต่าย ในดวงใจของใครหลายคนในเวลาต่อมา และเป็นกระต่ายที่ขายได้ในราคาสูงมากในอดีต จนทำให้หลายๆคนรวยไปเลยก็มี
กระต่าย Rex ที่ลักษณะดีนั้น ขนจะต้องแน่นและนุ่มมากๆ และความยาวของขนต้องไม่เกิน 0.5 - 3/4 นิ้ว และขนต้องยาวเท่าเสมอกันทั้งตัวค่ะ
กระต่าย Rex มีกี่แบบ
ชนิด ขนาด สี และหน้าตา
Rex เป็นกระต่ายขนาดกลาง
เพศผู้ : 3.6 กิโลกรัม
เพศเมีย: 4 กิโลกรัม
http://mr-colors.tripod.com/
Mini Rex เป็นกระต่ายขนาดเล็ก
เพศผู้ : 1.8 กิโลกรัม
เพศเมีย : 2 กิโลกรัม 1. http://lapinrex.free.fr/tachete1.html
2. http://lapinrex.free.fr/marque1.html
3. http://lapinrex.free.fr/extremite1.html
4. http://lapinrex.free.fr/unicolore1.html
5. สีหายาก
ตอนนี้ มีคนสามารถผสม Dwarf Rex ออกมาได้แล้วด้วยนะคะ แต่ยังไม่ได้รับการรับรองจาก ARBA ค่ะ หากใครสนใจ click ดูได้ที่นี่เลยค่ะ (http://lapinrex.free.fr/dwarf.html)
ขนาดกรงที่เหมาะสมสำหรับกระต่าย
1. Rex กรงควรจะกว้าง 0.3 ตารางเมตร ต่อกระต่าย 1 ตัว และมีความสูงไม่ต่ำกว่า 35 เซนติเมตร
2. Mini Rex กรงควรจะกว้าง 0.2 ตารางเมตร ต่อกระต่าย 1 ตัว และสูงไม่น้อยกว่า 35 เซนติเมตรค่ะ
ข้อควรระวังของกระต่าย Rex และ Mini Rex ก็คือ ขนที่เท้าเค้าจะไม่ยาวหนา ดังนั้นการเลี้ยงหากเลี้ยงบนกรงที่มีพื่นเป็นซี่ลวด อาจจะเกิดปัญหาที่เรียกว่า Sore hock ได้ มากกว่ากระต่ายทั่วไป คือ เท้าจะเจ็บเป็นแผล เนื่องจากน้ำหนักตัวที่กดลงบนซี่ลวดที่เป็นพื้นกรง ดังนั้นการเลี้ยงควรจะเลือกกรงพื้นทึบจะเหมาะสมกว่าค่ะ
กระต่ายพันธุ์ Rex นั้นไม่เหมือนพันธุ์อื่นๆ เค้าจะมีเสน่ห์ตรงเส้นขนนี่หละค่ะ เส้นขนกระต่าย Rex นั้นใครได้สัมผัส รับรองเลยจะต้องประทับใจ เส้นขนจะหนาแน่นนุ่ม เหมือนกับเราเอามือไปลูบบนผ้ากำมะหยี่ ยังไงยังงั้นเลยล่ะค่ะ ขนเค้าจะตั้งขึ้น สั้นเตียนแน่น ความยาวขนควรจะประมาณ 5/8 นิ้ว ลูบแล้วจะนุ่มมือมาก
แม้ว่าหน้าตาจะไม่น่ารัก เพราะว่า หน้าจะแหลมๆจรวดๆ หูตั้งค่ะ แต่ว่า ลองได้สัมผัสขนกำมะหยี่นุ่มๆ แล้วจะชอบค่ะ
แต่ว่า กระต่ายพันธุ์ Rex ที่เห็นขายอยู่ทั่วไปนั้น ก็มีทั้ง Rex แท้ๆและ Rex ลูกผสมค่ะ ที่เรียกว่า ลูกผสมก็เพราะว่า คนไทยหัวหมอ นำเอามาผสมกับกระต่ายไทย (อีกแล้ว - -") เพื่อลดต้นทุนนั่นเอง
แต่ว่าลักษณะของกระต่ายผสม และกระต่ายที่เป็น Rex แท้ๆนั้น ตอนเล็กจะดูยากเหมือนกัน แต่ยิ่งโตจะยิ่งเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้น เพราะว่า ขนกระต่ายผสมจะไม่เป็นกำมะหยี่แน่นเหมือนกระต่าย Rex แท้ๆ แล้วราคาก็ต่างกันมากทีเดียว
กระต่าย Rex แท้ๆนั้น จะราคาไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท ส่วนกระต่าย Rex ที่ผสมกับกระต่ายไทยมาขายนั้น ราคาจะอยู่ที่ 100-200 บาทก็มีค่ะ
ประวัติของกระต่าย Rex
กระต่ายพันธุ์ Rex นั้นเกิดจากการกลายพันธุ์ โดย Rex ที่พบครั้งแรกนั้นเป็นลูกของกระต่ายป่า ในประเทศ ฝรั่งเศส โดยพบในปี คศ 1919 แล้วต่อมาก็มีการพบกระต่าย Rex อีกตัวที่เป็นเพศตรงข้ามกับที่พบตัวแรก แล้วทั้งคู่ก็กลายมาเป็น ต้นกำเนิดของ Rex ในปัจจุบันนั่นเอง
คนที่ค้นพบเนี่ยเค้าเป็นชาวนาค่ะ และได้มีบาทหลวง ที่ชือว่า Gillet เป็นคนตั้งชื่อกระต่ายนี้ว่า Castor Rex โดยที่มีความหมายคือ
Castor แปลว่า สีเหมือนตัวบีเวอร์
ส่วนคำว่า Rex เป็น�� าษาละติน หมายถึง พระราชา เชียวนะคะ น่า�� ูมิใจใช่ม๊า
กระต่าย Rex จึงได้สมญาว่า "King of Rabbit" หรือ ราชาแห่งกระต่ายเชียวแหละ
ต่อมาในปี 1928 ก็ได้มี Rex สีใหม่ๆเกิดขึ้น และได้เป็นที่ยอมรับใน American Rabbit Breeders
และต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเป็นพันธุ์ใหม่ เรียกว่า Mini Rex และได้รับการยอมรับจาก ARBA ในปี 1986
เคยมีคนวิจารณ์ว่า Rex เนี่ยเป็นกระต่ายที่ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย แถมยังเป็นกระต่ายที่น่าเกลียดอีกต่างหาก เพราะว่า ขนก็สั้น หน้าก็แหลม ตัวก็ยาว ขาก็ยาวเบื๊อย ดูไปดูมายังกับจิงโจ้ยังไงยังงั้น
แต่ด้วยเส้นขนที่นุ่มแบบกำมะหยี่ เหมือนในอุดมคติที่หาไม่ได้ในกระต่ายพันธุ์ไหน ทำให้ Rex กลายเป็นกระต่าย ในดวงใจของใครหลายคนในเวลาต่อมา และเป็นกระต่ายที่ขายได้ในราคาสูงมากในอดีต จนทำให้หลายๆคนรวยไปเลยก็มี
กระต่าย Rex ที่ลักษณะดีนั้น ขนจะต้องแน่นและนุ่มมากๆ และความยาวของขนต้องไม่เกิน 0.5 - 3/4 นิ้ว และขนต้องยาวเท่าเสมอกันทั้งตัวค่ะ
กระต่าย Rex มีกี่แบบ
ชนิด ขนาด สี และหน้าตา
Rex เป็นกระต่ายขนาดกลาง
เพศผู้ : 3.6 กิโลกรัม
เพศเมีย: 4 กิโลกรัม
http://mr-colors.tripod.com/
Mini Rex เป็นกระต่ายขนาดเล็ก
เพศผู้ : 1.8 กิโลกรัม
เพศเมีย : 2 กิโลกรัม 1. http://lapinrex.free.fr/tachete1.html
2. http://lapinrex.free.fr/marque1.html
3. http://lapinrex.free.fr/extremite1.html
4. http://lapinrex.free.fr/unicolore1.html
5. สีหายาก
ตอนนี้ มีคนสามารถผสม Dwarf Rex ออกมาได้แล้วด้วยนะคะ แต่ยังไม่ได้รับการรับรองจาก ARBA ค่ะ หากใครสนใจ click ดูได้ที่นี่เลยค่ะ (http://lapinrex.free.fr/dwarf.html)
ขนาดกรงที่เหมาะสมสำหรับกระต่าย
1. Rex กรงควรจะกว้าง 0.3 ตารางเมตร ต่อกระต่าย 1 ตัว และมีความสูงไม่ต่ำกว่า 35 เซนติเมตร
2. Mini Rex กรงควรจะกว้าง 0.2 ตารางเมตร ต่อกระต่าย 1 ตัว และสูงไม่น้อยกว่า 35 เซนติเมตรค่ะ
ข้อควรระวังของกระต่าย Rex และ Mini Rex ก็คือ ขนที่เท้าเค้าจะไม่ยาวหนา ดังนั้นการเลี้ยงหากเลี้ยงบนกรงที่มีพื่นเป็นซี่ลวด อาจจะเกิดปัญหาที่เรียกว่า Sore hock ได้ มากกว่ากระต่ายทั่วไป คือ เท้าจะเจ็บเป็นแผล เนื่องจากน้ำหนักตัวที่กดลงบนซี่ลวดที่เป็นพื้นกรง ดังนั้นการเลี้ยงควรจะเลือกกรงพื้นทึบจะเหมาะสมกว่าค่ะ
กระต่ายออกลูก
สำหรับคุณแม่มือใหม่ ที่จู่ๆ น้องกระต่ายที่ดูเหมือนอ้วนก็ออกลูกตัวแดงๆ ออกมา จะทำยังไงดี คนที่แม่กระต่ายใกล้จะออกลูกก็ควรศึกษาไว้นะคะ ถึงเวลาจะได้พร้อมค่ะ
อย่าเพิ่งตกใจค่ะ ที่นี่มีคำตอบ ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆทำตามเป็นข้อๆ นะคะ
1. แยกตัวผู้
ถ้ายังไม่ได้แยกตัวผู้ออก รีบแยกออกก่อนตัวเมียจะคลอดลูก แต่ของใครออกลูกมาแล้วโดยที่ยังไม่ได้แยกตัวผู้ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลยนะคะ รีบแยกตัวผู้ออกซะดีๆ
2. เตรียมรังคลอด
. ในกรงกระต่ายมีรังคลอดหรือยังคะ ที่จริงควรใส่ไว้ในตั้งแต่แม่กระต่ายยังไม่ออกลูก ค่ะ ถ้ายังไม่ได้เตรียมไว้ ก็ควรจะรีบไปหามาค่ะ แม่กระต่ายบางตัวจะเข้าไปออกในรังที่เราเตรียมไว้ให้ หลังจากแม่กระต่ายออกลูกแล้ว เค้าจะเลียทำความสะอาดลูก ซึ่งหลังจากแม่กระต่ายทำความสะอาดลูกแล้ว เราก็สามารถเข้าไปตรวจดูได้ค่ะ ว่ามีลูกกระต่ายตายบ้างหรือไม่ ถ้าพบว่าตายก็ควรจะเก็บออกค่ะ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้ อาจจะทำให้ฝูงมดมาค่ะ ทีนี้ลูกกระต่ายตัวอื่นๆจะโดนมดกัดตายตามไปด้วย
แต่ถ้าแม่กระต่ายไม่ยอมออกในลูกรังคลอดที่เราเตรียมไว้ให้ เราก็สามารถจะจับลูกกระต่าย ไปไว้ในรังคลอดได้ค่ะ การปล่อยลูกกระต่ายไว้นอกรังคลอดไม่ดีหรอกค่ะ เพราะว่า ขาลูกกระต่าย หรือตัวลูกกระต่าย อาจจะตกลงไประหว่างซี่กรง และโดนแม่เหยียบตายได้
ซึ่งกระต่ายไม่มีปัญหาเรื่องการผิดกลิ่นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ เราสามารถจะจับลูกกระต่ายได้ค่ะ แต่หากใครกลัวมากๆ จะเอามือไปถูๆที่ขนแม่กระต่ายก่อนค่อยมาจับลูกกระต่ายเพื่อความสบายใจ ก็ไม่ผิดกติกาค่ะ
3. จัดกรงให้ปลอดภัยแก่ลูกกระต่าย
ในกรณีที่แม่กระต่ายไม่ยอมทึ้งขน แล้วอากาศค่อนข้างเย็นเนี่ย เราอาจจะช่วยลูกกระต่ายให้มีที่นอนนุ่มๆอุ่นๆได้ค่ะ โดยไปหาสำลีแบบก้อนๆค่ะ ที่ขายตามโลตัสเป็นก้อนใหญ่ๆ เอามาปูในกรงก็ได้ค่ะ ลูกกระต่ายจะซุกตัวเข้าไปนอนเหมือนกับเป็นขนของแม่ค่ะ (กรณีที่ลูกกระต่ายที่แม่ไม่เลี้ยง ก็เอาสำลีมาปูได้ ไม่ผิดกติกาค่ะ)
นอกจากนี้ ตามพื้นกรงที่เป็นซี่ๆ ลูกกระต่ายอาจจะตกลงไประหว่างซี่ หรือ ขาติดระหว่างซี่กรง แล้วโดนเหยียบได้ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถจะป้องกันได้ โดยการปูพื้นกรงด้วยหญ้าแห้งค่ะ อาจจะเป็น หญ้าขนแห้งๆ หรือหญ้าแห้ง Timothy ที่ขายเป็นถุงๆก็ได้ค่ะ เพื่อปิดซี่ห่างของพื้นกรง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความปลอดภัย แม่กระต่ายยังสามารถจะใช้รองนอน ลูกกระต่ายก็ได้รับความอบอุ่น และแม่กระต่ายยังสามารถจะแทะหญ้าแห้งเหล่านี้กินได้อีกด้วย
4. แม่กระต่ายเลี้ยงลูกหรือเปล่า
หากแม่กระต่ายดูเหมือนไม่ยอมเลี้ยงลูก ไม่ต้องตกใจกลัวนะคะ เจ้าของส่วนใหญ่มักจะกังวลเมื่อเห็นว่า แม่กระต่ายไม่ยอมไปนอนกกลูก แถมบางทีก็ไม่เห็นว่าเลี้ยงนมลูกอีกต่างหาก ก็เลยกลัวกันว่าแม่กระต่ายไม่เลี้ยง แต่จริงๆแล้ว อาจจะไม่ใช่อย่างที่เพื่อนๆ เข้าใจนะคะ เพราะว่า แม่กระต่ายไม่ใช่แม่ไก่ค่ะ เค้าไม่กกลูกทั้งวันหรอกค่ะ แต่ว่าเค้าจะให้นมลูกแค่วันละ ไม่เกิน 2 ครั้งค่ะ คือตอนเช้าตรู่ ครั้งและตอนกลางคืนอีกครั้งค่ะ
ส่วนเวลาที่เหลือเค้าจะแยกไปดูลูกอยู่ห่างๆค่ะ ทั้งนี้ก็เพราะตามธรรมชาติแล้วกระต่ายจะไปออกลูกในโพรง การที่แม่กระต่ายอยุ่กับลูกที่โพรงตลอดเวลานั้น จะทำให้เป็นเป้าสนใจแก่ผู้ล่าค่ะ อย่าลืมว่าหากมีศัตรูมาโจมตี กระต่ายไม่มีทางสู้ได้เลยนอกจากการหนีให้เร็วที่สุด แต่ว่าลูกกระต่ายแรกเกิดนั้น ตายังไม่ลืม หูไม่ได้ยิน มองไม่เห็น เดินไม่ได้ ป้องกันตัวเองไม่ได้เลย แม่กระต่ายส่วนใหญ่จึงมักจะต้องอยู่ห่างๆลูกไว้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของศัตรูนั่นเอง
วิธีดูว่าลูกกระต่ายได้รับนมจากแม่หรือไม่
วิธีดูง่ายๆคือลูกกระต่ายที่ได้กินนมแม่เนี่ย ตรงท้องบางๆของเค้าจะเต่งกลมค่ะ และมองดีๆจะเห็นนมสีขาวๆ อยู่ใต้ผิวบางๆ
ส่วนลูกกระต่ายที่แม่ไม่ยอมเลี้ยง เราจะเห็นว่าตัวเค้าเหี่ยวๆค่ะ ท้องไม่เต่งเต็มเหมือนตอนคลอดออกมา
4. หาแม่บุญธรรมถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยง
ถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยงเนี่ย เราจำเป็นจะต้องหาแม่บุญธรรมค่ะ ลูกกระต่ายเลี้ยงมือไม่ค่อยรอดนะคะ เราเคยเลี้ยงมือ มีอยู่ตัวหนึ่ง แม้จะรอดแต่ก็ตายไม่นานหลังอายุหย่านม หลายๆคนก็เคยเจอแบบเดียวกันค่ะ
ทางที่ดีที่สุดคือ หาแม่บุญธรรมค่ะ เป็นแม่กระต่ายที่คลอดลูกไล่เลี่ยกัน ลองประกาศหาตามบอร์ดต่างๆ อาจจะมีคนช่วยเหลือได้ รวมทั้งถามจากฟาร์มที่ซื้อมาค่ะ เผื่อเค้าจะมีแม่กระต่ายลูกอ่อน
5. อย่าลืมน้ำและอาหารของแม่กระต่าย
อย่าลืมเรื่องน้ำและอาหารของแม่กระต่ายด้วยนะคะ ดูแลเค้าให้เค้ามีน้ำและอาหารอย่าให้ขาดค่ะ :)
อย่าเพิ่งตกใจค่ะ ที่นี่มีคำตอบ ใจเย็นๆ แล้วค่อยๆทำตามเป็นข้อๆ นะคะ
1. แยกตัวผู้
ถ้ายังไม่ได้แยกตัวผู้ออก รีบแยกออกก่อนตัวเมียจะคลอดลูก แต่ของใครออกลูกมาแล้วโดยที่ยังไม่ได้แยกตัวผู้ ก็อย่าปล่อยเลยตามเลยนะคะ รีบแยกตัวผู้ออกซะดีๆ
2. เตรียมรังคลอด
. ในกรงกระต่ายมีรังคลอดหรือยังคะ ที่จริงควรใส่ไว้ในตั้งแต่แม่กระต่ายยังไม่ออกลูก ค่ะ ถ้ายังไม่ได้เตรียมไว้ ก็ควรจะรีบไปหามาค่ะ แม่กระต่ายบางตัวจะเข้าไปออกในรังที่เราเตรียมไว้ให้ หลังจากแม่กระต่ายออกลูกแล้ว เค้าจะเลียทำความสะอาดลูก ซึ่งหลังจากแม่กระต่ายทำความสะอาดลูกแล้ว เราก็สามารถเข้าไปตรวจดูได้ค่ะ ว่ามีลูกกระต่ายตายบ้างหรือไม่ ถ้าพบว่าตายก็ควรจะเก็บออกค่ะ เพราะว่าถ้าปล่อยไว้ อาจจะทำให้ฝูงมดมาค่ะ ทีนี้ลูกกระต่ายตัวอื่นๆจะโดนมดกัดตายตามไปด้วย
แต่ถ้าแม่กระต่ายไม่ยอมออกในลูกรังคลอดที่เราเตรียมไว้ให้ เราก็สามารถจะจับลูกกระต่าย ไปไว้ในรังคลอดได้ค่ะ การปล่อยลูกกระต่ายไว้นอกรังคลอดไม่ดีหรอกค่ะ เพราะว่า ขาลูกกระต่าย หรือตัวลูกกระต่าย อาจจะตกลงไประหว่างซี่กรง และโดนแม่เหยียบตายได้
ซึ่งกระต่ายไม่มีปัญหาเรื่องการผิดกลิ่นหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ เราสามารถจะจับลูกกระต่ายได้ค่ะ แต่หากใครกลัวมากๆ จะเอามือไปถูๆที่ขนแม่กระต่ายก่อนค่อยมาจับลูกกระต่ายเพื่อความสบายใจ ก็ไม่ผิดกติกาค่ะ
3. จัดกรงให้ปลอดภัยแก่ลูกกระต่าย
ในกรณีที่แม่กระต่ายไม่ยอมทึ้งขน แล้วอากาศค่อนข้างเย็นเนี่ย เราอาจจะช่วยลูกกระต่ายให้มีที่นอนนุ่มๆอุ่นๆได้ค่ะ โดยไปหาสำลีแบบก้อนๆค่ะ ที่ขายตามโลตัสเป็นก้อนใหญ่ๆ เอามาปูในกรงก็ได้ค่ะ ลูกกระต่ายจะซุกตัวเข้าไปนอนเหมือนกับเป็นขนของแม่ค่ะ (กรณีที่ลูกกระต่ายที่แม่ไม่เลี้ยง ก็เอาสำลีมาปูได้ ไม่ผิดกติกาค่ะ)
นอกจากนี้ ตามพื้นกรงที่เป็นซี่ๆ ลูกกระต่ายอาจจะตกลงไประหว่างซี่ หรือ ขาติดระหว่างซี่กรง แล้วโดนเหยียบได้ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถจะป้องกันได้ โดยการปูพื้นกรงด้วยหญ้าแห้งค่ะ อาจจะเป็น หญ้าขนแห้งๆ หรือหญ้าแห้ง Timothy ที่ขายเป็นถุงๆก็ได้ค่ะ เพื่อปิดซี่ห่างของพื้นกรง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความปลอดภัย แม่กระต่ายยังสามารถจะใช้รองนอน ลูกกระต่ายก็ได้รับความอบอุ่น และแม่กระต่ายยังสามารถจะแทะหญ้าแห้งเหล่านี้กินได้อีกด้วย
4. แม่กระต่ายเลี้ยงลูกหรือเปล่า
หากแม่กระต่ายดูเหมือนไม่ยอมเลี้ยงลูก ไม่ต้องตกใจกลัวนะคะ เจ้าของส่วนใหญ่มักจะกังวลเมื่อเห็นว่า แม่กระต่ายไม่ยอมไปนอนกกลูก แถมบางทีก็ไม่เห็นว่าเลี้ยงนมลูกอีกต่างหาก ก็เลยกลัวกันว่าแม่กระต่ายไม่เลี้ยง แต่จริงๆแล้ว อาจจะไม่ใช่อย่างที่เพื่อนๆ เข้าใจนะคะ เพราะว่า แม่กระต่ายไม่ใช่แม่ไก่ค่ะ เค้าไม่กกลูกทั้งวันหรอกค่ะ แต่ว่าเค้าจะให้นมลูกแค่วันละ ไม่เกิน 2 ครั้งค่ะ คือตอนเช้าตรู่ ครั้งและตอนกลางคืนอีกครั้งค่ะ
ส่วนเวลาที่เหลือเค้าจะแยกไปดูลูกอยู่ห่างๆค่ะ ทั้งนี้ก็เพราะตามธรรมชาติแล้วกระต่ายจะไปออกลูกในโพรง การที่แม่กระต่ายอยุ่กับลูกที่โพรงตลอดเวลานั้น จะทำให้เป็นเป้าสนใจแก่ผู้ล่าค่ะ อย่าลืมว่าหากมีศัตรูมาโจมตี กระต่ายไม่มีทางสู้ได้เลยนอกจากการหนีให้เร็วที่สุด แต่ว่าลูกกระต่ายแรกเกิดนั้น ตายังไม่ลืม หูไม่ได้ยิน มองไม่เห็น เดินไม่ได้ ป้องกันตัวเองไม่ได้เลย แม่กระต่ายส่วนใหญ่จึงมักจะต้องอยู่ห่างๆลูกไว้ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของศัตรูนั่นเอง
วิธีดูว่าลูกกระต่ายได้รับนมจากแม่หรือไม่
วิธีดูง่ายๆคือลูกกระต่ายที่ได้กินนมแม่เนี่ย ตรงท้องบางๆของเค้าจะเต่งกลมค่ะ และมองดีๆจะเห็นนมสีขาวๆ อยู่ใต้ผิวบางๆ
ส่วนลูกกระต่ายที่แม่ไม่ยอมเลี้ยง เราจะเห็นว่าตัวเค้าเหี่ยวๆค่ะ ท้องไม่เต่งเต็มเหมือนตอนคลอดออกมา
4. หาแม่บุญธรรมถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยง
ถ้าแม่กระต่ายไม่เลี้ยงเนี่ย เราจำเป็นจะต้องหาแม่บุญธรรมค่ะ ลูกกระต่ายเลี้ยงมือไม่ค่อยรอดนะคะ เราเคยเลี้ยงมือ มีอยู่ตัวหนึ่ง แม้จะรอดแต่ก็ตายไม่นานหลังอายุหย่านม หลายๆคนก็เคยเจอแบบเดียวกันค่ะ
ทางที่ดีที่สุดคือ หาแม่บุญธรรมค่ะ เป็นแม่กระต่ายที่คลอดลูกไล่เลี่ยกัน ลองประกาศหาตามบอร์ดต่างๆ อาจจะมีคนช่วยเหลือได้ รวมทั้งถามจากฟาร์มที่ซื้อมาค่ะ เผื่อเค้าจะมีแม่กระต่ายลูกอ่อน
5. อย่าลืมน้ำและอาหารของแม่กระต่าย
อย่าลืมเรื่องน้ำและอาหารของแม่กระต่ายด้วยนะคะ ดูแลเค้าให้เค้ามีน้ำและอาหารอย่าให้ขาดค่ะ :)
ของเล่นของกระต่าย
กระต่ายของเพื่อนๆ มีของเล่นหรือยัง ใครๆก็อยากจะให้น้องต่ายของตัวเองมีความสุขกันทั้งนั้นแหละ แต่พอถามถึงของเล่นของกระต่าย ส่วนใหญ่จะอึ้งๆๆๆๆๆ และก็ถามกลับมาว่า “กระต่ายมีของเล่นด้วยเหรอ ไม่ใช่แฮมสเตอร์นะจะได้ปั่นวงล้อ”
ที่จริงแล้ว กระต่ายเอง ก็มีของเล่นได้นะคะ การเลือกของเล่น เลือกแบบที่ไม่มีสีดีกว่า หรือหากมีสีก็ควรจะเป็นสีผสมอาหารนะคะ ประเภทไม้ที่ชุบสีทาบ้านเนี่ย ไม่ดีค่ะ เป็นอันตรายกับกระต่าย
วันนี้มีของเล่นของกระต่ายมาฝากค่ะ เผื่อใครสนใจ
• แกนทิชชู่ค่ะ
ใส่เอาไว้ในกรงก็ได้ค่ะ กระต่ายจะแทะเล่นหรือไม่ก็เอามาเหวี่ยงเล่นอีกด้วย
• กล่องกระดาษค่ะเอาแบบแข็งๆ
แข็งแรงๆนะคะ เอามาเจาะเป็นรูประตูเข้าออก ค่ะ ใช้เป็นที่หลบได้ กระต่ายจะมุดเข้าไปสำรวจ และอาจจะแทะเล่นอีกด้วย ที่อยากให้หาเป็นกล่องแข็งๆ เพราะว่า บางทีกระต่ายจะปีนขึ้นไปบนหลังกล่องค่ะ กลัวว่าจะคว่ำลงมา ใครมีไอเดียเจ็งๆ ฝีมือดีๆ จะตกแต่งบ้านกระดาษให้สวยถูกใจน้องกระต่ายก็ทำได้ค่ะ
• นอกจากนี้อาจจะดัดแปลงกล่องเป็นกล่องสมบัติค่ะ ในกล่องกระดาษนั้นใส่หญ้าลงไป กระต่ายจะขุดคุ้ยเล่นค่ะ และแทะกินหญ้าในกล่องไปในตัว
• ถุงกระดาษแบบไม่มีลาย ไว้ให้มุดเล่น ขุดเล่น และไว้ให้แทะเล่น
• ไม้ลับฟัน ไว้ให้กระต่ายลับฟันเล่น ป้องกันฟันยาวได้อีกด้วย
• พวกผ้าขนหนูเก่าๆ
ก็มีประโยชน์ค่ะ เอาไว้ให้มุดเล่น หรือ ดึงเล่น แต่อย่าทิ้งไว้ในกรงนะคะ เพราะว่ากระต่ายอาจจแทะเอาผ้าเข้าไป และย่อยไม่ได้ เป็นต้น
• พวกตะกร้าสานที่ไม่ใช้แล้ว
ใส่ไว้ในกรงก็ได้ค่ะ ให้กระต่ายแทะเล่น
• พวกของเล่นสุนัขค่ะ
กระต่ายบางตัวชอบเอามาเล่น โดยเอาปากงัดโยนไปมา แต่อย่าเลือกแบบที่กระต่ายเคี้ยวได้ หรือเล็กจนติดคอได้นะคะ
• แล้วก็พวกของเล่นกลมๆ
ที่กลิ้งได้ มีเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ แบบนี้ กระต่ายบางตัวชอบนะ จะบอกให้
• กะบะอาหารสแตนเลส
ว่างๆ ลองใส่ไว้ในกรงดูนะคะ กระต่ายบางตัวชอบเอาปากงับเหวี่ยงเล่นค่ะ
• บ้านบันไดโพรงค่ะ
สำหรับการแทะเล่น และ การกระโดดขึ้นลง ออกกำลังกาย กระต่ายชอบปีนขึ้นไปนอนที่สูงๆด้วยนะคะ เพราะว่าจะทำให้เห็นวิวชัดขึ้น เค้าจะปีนขึ้นไปนอนบนบ้านบันไดโพรงค่ะ นอกจากนี้ยังใช้บ้านบันไดโพรงเป็นที่ลับฟันอีกด้วย (กระต่ายชอบมาก อันนี้แนะนำเลยค่ะ อยากให้มีไว้ในกรง)
• ขอนไม้
ใส่ขอนไม้ไว้ในกรงด้วยก็ได้ค่ะ กระต่ายจะฝึกวิชาตัวเบากระโดดข้ามเล่นไปมา และ แทะเล่น นอกจากนี้ขอนไม้ยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติแก่กระต่ายอีกด้วย อ้อ อย่าใช้ไม่ที่มีเสี้ยนหรือยางนะคะ
• กระดาษขาวไม่มีลาย
เหมาะแก่การให้กระต่ายฉีกเล่นค่ะ หรือใช้ในการลับเล็บ ในการขุดเป็นต้น พยายามเลี่ยงกระดาษหนังสือพิมพ์ค่ะ เพราะว่ามีหมึกพิมพ์ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพกระต่าย
• หญ้าแห้งค่ะ
หรือหญ้าธรรมดาก็ได้ค่ะ เอามามัดเข้าด้วยกันเป็นฟ่อนหญ้า กระต่ายจะสนุกกับการดึกหญ้าออกมาจากฟ่อน และเคี้ยวกินหญ้าค่ะ
• ฝาอย่างฝาขวดที่เป็นพลาสติก
น่ะค่ะ กระต่ายบางตัวก็ชอบคาบแล้วเหวี่ยงเล่นเหมือนกัน เอาฝาใหญ่ๆหน่อยนะคะ เอาแบบงับเล่นได้ แต่กินไม่ได้ ป้องกันไม่ให้ติดคอน้องกระต่าย
ที่จริงแล้ว กระต่ายเอง ก็มีของเล่นได้นะคะ การเลือกของเล่น เลือกแบบที่ไม่มีสีดีกว่า หรือหากมีสีก็ควรจะเป็นสีผสมอาหารนะคะ ประเภทไม้ที่ชุบสีทาบ้านเนี่ย ไม่ดีค่ะ เป็นอันตรายกับกระต่าย
วันนี้มีของเล่นของกระต่ายมาฝากค่ะ เผื่อใครสนใจ
• แกนทิชชู่ค่ะ
ใส่เอาไว้ในกรงก็ได้ค่ะ กระต่ายจะแทะเล่นหรือไม่ก็เอามาเหวี่ยงเล่นอีกด้วย
• กล่องกระดาษค่ะเอาแบบแข็งๆ
แข็งแรงๆนะคะ เอามาเจาะเป็นรูประตูเข้าออก ค่ะ ใช้เป็นที่หลบได้ กระต่ายจะมุดเข้าไปสำรวจ และอาจจะแทะเล่นอีกด้วย ที่อยากให้หาเป็นกล่องแข็งๆ เพราะว่า บางทีกระต่ายจะปีนขึ้นไปบนหลังกล่องค่ะ กลัวว่าจะคว่ำลงมา ใครมีไอเดียเจ็งๆ ฝีมือดีๆ จะตกแต่งบ้านกระดาษให้สวยถูกใจน้องกระต่ายก็ทำได้ค่ะ
• นอกจากนี้อาจจะดัดแปลงกล่องเป็นกล่องสมบัติค่ะ ในกล่องกระดาษนั้นใส่หญ้าลงไป กระต่ายจะขุดคุ้ยเล่นค่ะ และแทะกินหญ้าในกล่องไปในตัว
• ถุงกระดาษแบบไม่มีลาย ไว้ให้มุดเล่น ขุดเล่น และไว้ให้แทะเล่น
• ไม้ลับฟัน ไว้ให้กระต่ายลับฟันเล่น ป้องกันฟันยาวได้อีกด้วย
• พวกผ้าขนหนูเก่าๆ
ก็มีประโยชน์ค่ะ เอาไว้ให้มุดเล่น หรือ ดึงเล่น แต่อย่าทิ้งไว้ในกรงนะคะ เพราะว่ากระต่ายอาจจแทะเอาผ้าเข้าไป และย่อยไม่ได้ เป็นต้น
• พวกตะกร้าสานที่ไม่ใช้แล้ว
ใส่ไว้ในกรงก็ได้ค่ะ ให้กระต่ายแทะเล่น
• พวกของเล่นสุนัขค่ะ
กระต่ายบางตัวชอบเอามาเล่น โดยเอาปากงัดโยนไปมา แต่อย่าเลือกแบบที่กระต่ายเคี้ยวได้ หรือเล็กจนติดคอได้นะคะ
• แล้วก็พวกของเล่นกลมๆ
ที่กลิ้งได้ มีเสียงกรุ๊งกริ๊งๆ แบบนี้ กระต่ายบางตัวชอบนะ จะบอกให้
• กะบะอาหารสแตนเลส
ว่างๆ ลองใส่ไว้ในกรงดูนะคะ กระต่ายบางตัวชอบเอาปากงับเหวี่ยงเล่นค่ะ
• บ้านบันไดโพรงค่ะ
สำหรับการแทะเล่น และ การกระโดดขึ้นลง ออกกำลังกาย กระต่ายชอบปีนขึ้นไปนอนที่สูงๆด้วยนะคะ เพราะว่าจะทำให้เห็นวิวชัดขึ้น เค้าจะปีนขึ้นไปนอนบนบ้านบันไดโพรงค่ะ นอกจากนี้ยังใช้บ้านบันไดโพรงเป็นที่ลับฟันอีกด้วย (กระต่ายชอบมาก อันนี้แนะนำเลยค่ะ อยากให้มีไว้ในกรง)
• ขอนไม้
ใส่ขอนไม้ไว้ในกรงด้วยก็ได้ค่ะ กระต่ายจะฝึกวิชาตัวเบากระโดดข้ามเล่นไปมา และ แทะเล่น นอกจากนี้ขอนไม้ยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติแก่กระต่ายอีกด้วย อ้อ อย่าใช้ไม่ที่มีเสี้ยนหรือยางนะคะ
• กระดาษขาวไม่มีลาย
เหมาะแก่การให้กระต่ายฉีกเล่นค่ะ หรือใช้ในการลับเล็บ ในการขุดเป็นต้น พยายามเลี่ยงกระดาษหนังสือพิมพ์ค่ะ เพราะว่ามีหมึกพิมพ์ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพกระต่าย
• หญ้าแห้งค่ะ
หรือหญ้าธรรมดาก็ได้ค่ะ เอามามัดเข้าด้วยกันเป็นฟ่อนหญ้า กระต่ายจะสนุกกับการดึกหญ้าออกมาจากฟ่อน และเคี้ยวกินหญ้าค่ะ
• ฝาอย่างฝาขวดที่เป็นพลาสติก
น่ะค่ะ กระต่ายบางตัวก็ชอบคาบแล้วเหวี่ยงเล่นเหมือนกัน เอาฝาใหญ่ๆหน่อยนะคะ เอาแบบงับเล่นได้ แต่กินไม่ได้ ป้องกันไม่ให้ติดคอน้องกระต่าย
การตัดเล็บกระต่าย
การตัดเล็บเท้ากระต่าย
การตัดเล็บเท้าของกระต่ายถือเป็นส่วนหนึ่งในการ Grooming ค่ะ
กระต่ายจะมีนิ้วเท้า 5 นิ้ว ที่เท้าหน้าแต่ละข้าง และมีนิ้วเท้าหลังข้างละ 4 นิ้ว เล็บเท่ากระต่ายจะงอกยาวออกมาเรื่อยๆ เหมือนกับเล็บมือคน ขนาดคนยังต้องตัดเล็บกระต่ายเองก็เหมือนกัน ต้องตัดเป็นระยะๆ เราควรตัดเล็บกระต่ายอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ทำไมต้องตัดเล็บกระต่าย
การตัดเล็บกระต่ายเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะว่า กระต่ายจะได้ไม่เอาเล็บเท้าข่วนตัวเองตอนที่เกา ไม่ข่วนถูกคนเลี้ยงในขณะที่อุ้มกระต่าย ไม่ขูดถูกเพื่อนกระต่ายด้วยกัน และนอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้เล็บกระต่ายไปเกี่ยวกับซี่กรง และเกิดการฉีกขาดบาดเจ็บค่ะ
หากเราหมั่นอุ้มกระต่ายแบบเบามือ เล่นกับกระต่ายบ่อยๆ จะทำให้กระต่ายคุ้นเคยกับการตัดเล็บได้ง่ายยิ่งขึ้น
การตัดเล็บกระต่ายที่ง่ายสุดก็โดยการอุ้มกระต่ายหงายท้องแบบเด็กๆ แล้วค่อยๆ ตัดเล็บเท้าเบาๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ กรต่ายของเพื่อนๆ ด้วยค่ะ ว่าจะยินยอมท่าไหน หากเพื่อนๆ ยังมือใหม่อยู่ อาจจะหาคนมาช่วยจับด้วยก็ได้ค่ะ
อย่าตัดเข้าเนื้อนะคะ เลือดจะออก และกระต่ายจะเจ็บ หลังจากนั้นกระต่ายจะกลัวการตัดเล็บค่ะ ต้องระวังให้มากๆ (ลองนึกถึงตอนที่เราตัดเล็บเข้าเนื้อแล้วเลือดไหล กระต่ายก็จะเจ็บเหมือนเราค่ะ)
ที่ตัดเล็บกระต่าย
ก็สามารถจะซื้อได้จาก Pet Shop ทั่วไปค่ะ หาซื้อเป็นที่ตัดเล็บสำหรับสุนัขและแมวค่ะ ใช้ได้
วิธีการตัดเล็บ
จะตัดแค่ไหนดี ?
ให้ค่อยๆ เอามือลูบขนของกระต่ายขึ้นไปจากเล็บ หากตรงปลายเล็บมีขนบัง เพื่อให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่า ควรตัดตรงตำแหน่งไหน เพราะว่า กระต่ายบางทีแล้วขนของกระต่ายจะมาปกคลุมตรงเล็บเท้า ทำให้เห็นยาก
พยายามมองหาเส้นที่แบ่งระหว่างสีขาวและสีชมพูของเล็บ (มองเทียบกับนิ้วมือของตัวเราเอง ตอนตัดเล็บมือ ก็ได้ค่ะ เทียบของคนประกอบนะคะ จะเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ) เราต้องตัดต่ำกว่า เส้นสีชมพูนี้ลงมาหน่อย (อย่าตัดติดเส้นสีชมพูนะคะ ให้ห่างออกมานิดนึง ไม่งั้นจะติดเนื้อเล็บเกินไป และเจ็บได้)
ซึ่งส่วนสีขาวเป็นส่วนของเล็บที่ได้ตัดแล้วไม่เจ็บ อย่าไปตัดโดนส่วนที่เป็นเส้นสีชมพูนี้ เพราะว่า จะเป็นการตัดเข้าเนื้อ ซึ่งมีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ ทำให้เลือดไหล และกระต่ายจะเจ็บ
กระต่ายเล็บดำ จะดูยากหน่อย อาจจะต้องใช้การส่องไฟช่วยค่ะ
ทีนี้มาดูวิธีการตัดจริงๆ
ตัดตามที่บอกไว้ค่ะ หากพลาดไปตัดลึกไป เลยเข้าไปถึงส่วนที่เป็นสีชมพูของเล็บ แล้วเลือดไหล อย่าตกใจค่ะ หากใครเคยตัดเล็บตัวเองพลาดแล้วเลือดไหล จะจำได้ว่าไม่นานเลือดจะหยุดไหลเองค่ะ ไม่จำเป็นต้องใส่ยาอะไร กระต่ายก็เหมือนกันค่ะ ให้เราหยุดตัดแล้วปล่อยกระต่ายเข้ากรง เพื่อให้กระต่ายได้พัก และจะได้เครียดลดลง
แต่หากเราตัดพลาดไปมากๆ แล้วหลังจากทิ้งไว้ซักครู่ เลือดไม่หยุดไหลจริงๆ ก็ให้เราไปซื้อผงห้ามเลือดมาค่ะ จะช่วยให้เลือดหยุดไหลได้
เล็บเท้าของลูกกระต่ายจะเปราะและคมกว่ากระต่ายโต ดังนั้นควรจะตัดเหมือนกัน และตัดอย่างระมัดระวังค่ะ
การตัดเล็บเท้าของกระต่ายถือเป็นส่วนหนึ่งในการ Grooming ค่ะ
กระต่ายจะมีนิ้วเท้า 5 นิ้ว ที่เท้าหน้าแต่ละข้าง และมีนิ้วเท้าหลังข้างละ 4 นิ้ว เล็บเท่ากระต่ายจะงอกยาวออกมาเรื่อยๆ เหมือนกับเล็บมือคน ขนาดคนยังต้องตัดเล็บกระต่ายเองก็เหมือนกัน ต้องตัดเป็นระยะๆ เราควรตัดเล็บกระต่ายอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ทำไมต้องตัดเล็บกระต่าย
การตัดเล็บกระต่ายเป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะว่า กระต่ายจะได้ไม่เอาเล็บเท้าข่วนตัวเองตอนที่เกา ไม่ข่วนถูกคนเลี้ยงในขณะที่อุ้มกระต่าย ไม่ขูดถูกเพื่อนกระต่ายด้วยกัน และนอกจากนี้ยังป้องกันไม่ให้เล็บกระต่ายไปเกี่ยวกับซี่กรง และเกิดการฉีกขาดบาดเจ็บค่ะ
หากเราหมั่นอุ้มกระต่ายแบบเบามือ เล่นกับกระต่ายบ่อยๆ จะทำให้กระต่ายคุ้นเคยกับการตัดเล็บได้ง่ายยิ่งขึ้น
การตัดเล็บกระต่ายที่ง่ายสุดก็โดยการอุ้มกระต่ายหงายท้องแบบเด็กๆ แล้วค่อยๆ ตัดเล็บเท้าเบาๆ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ กรต่ายของเพื่อนๆ ด้วยค่ะ ว่าจะยินยอมท่าไหน หากเพื่อนๆ ยังมือใหม่อยู่ อาจจะหาคนมาช่วยจับด้วยก็ได้ค่ะ
อย่าตัดเข้าเนื้อนะคะ เลือดจะออก และกระต่ายจะเจ็บ หลังจากนั้นกระต่ายจะกลัวการตัดเล็บค่ะ ต้องระวังให้มากๆ (ลองนึกถึงตอนที่เราตัดเล็บเข้าเนื้อแล้วเลือดไหล กระต่ายก็จะเจ็บเหมือนเราค่ะ)
ที่ตัดเล็บกระต่าย
ก็สามารถจะซื้อได้จาก Pet Shop ทั่วไปค่ะ หาซื้อเป็นที่ตัดเล็บสำหรับสุนัขและแมวค่ะ ใช้ได้
วิธีการตัดเล็บ
จะตัดแค่ไหนดี ?
ให้ค่อยๆ เอามือลูบขนของกระต่ายขึ้นไปจากเล็บ หากตรงปลายเล็บมีขนบัง เพื่อให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่า ควรตัดตรงตำแหน่งไหน เพราะว่า กระต่ายบางทีแล้วขนของกระต่ายจะมาปกคลุมตรงเล็บเท้า ทำให้เห็นยาก
พยายามมองหาเส้นที่แบ่งระหว่างสีขาวและสีชมพูของเล็บ (มองเทียบกับนิ้วมือของตัวเราเอง ตอนตัดเล็บมือ ก็ได้ค่ะ เทียบของคนประกอบนะคะ จะเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ) เราต้องตัดต่ำกว่า เส้นสีชมพูนี้ลงมาหน่อย (อย่าตัดติดเส้นสีชมพูนะคะ ให้ห่างออกมานิดนึง ไม่งั้นจะติดเนื้อเล็บเกินไป และเจ็บได้)
ซึ่งส่วนสีขาวเป็นส่วนของเล็บที่ได้ตัดแล้วไม่เจ็บ อย่าไปตัดโดนส่วนที่เป็นเส้นสีชมพูนี้ เพราะว่า จะเป็นการตัดเข้าเนื้อ ซึ่งมีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ ทำให้เลือดไหล และกระต่ายจะเจ็บ
กระต่ายเล็บดำ จะดูยากหน่อย อาจจะต้องใช้การส่องไฟช่วยค่ะ
ทีนี้มาดูวิธีการตัดจริงๆ
ตัดตามที่บอกไว้ค่ะ หากพลาดไปตัดลึกไป เลยเข้าไปถึงส่วนที่เป็นสีชมพูของเล็บ แล้วเลือดไหล อย่าตกใจค่ะ หากใครเคยตัดเล็บตัวเองพลาดแล้วเลือดไหล จะจำได้ว่าไม่นานเลือดจะหยุดไหลเองค่ะ ไม่จำเป็นต้องใส่ยาอะไร กระต่ายก็เหมือนกันค่ะ ให้เราหยุดตัดแล้วปล่อยกระต่ายเข้ากรง เพื่อให้กระต่ายได้พัก และจะได้เครียดลดลง
แต่หากเราตัดพลาดไปมากๆ แล้วหลังจากทิ้งไว้ซักครู่ เลือดไม่หยุดไหลจริงๆ ก็ให้เราไปซื้อผงห้ามเลือดมาค่ะ จะช่วยให้เลือดหยุดไหลได้
เล็บเท้าของลูกกระต่ายจะเปราะและคมกว่ากระต่ายโต ดังนั้นควรจะตัดเหมือนกัน และตัดอย่างระมัดระวังค่ะ
เดาอายุกระต่าย
วิธีการดูอายุของกระต่ายแบบคร่าวๆ
เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่ที่เรามักจะพบกันบ่อยก็คือ ผู้ขายกระต่ายบางส่วน ได้เอากระต่ายที่ยังไม่หย่านม คือมีอายุไม่เกิน 2 เดือนมาขาย โดยเอามาหลอกขายว่าเป็นกระต่ายแคระ บางตัวอายุเพียงแค่ 3 สัปดาห์ด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงควรจะเรียนรู้วิธีการเลือกซื้อลูกกระต่าย เพื่อจะได้ ไม่โดนหลอกกันอีก
อย่าซื้อเลยค่ะ ลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านมโอกาสรอดน้อยค่ะ เพราะนั่นคือ เรากำลังฆ่าลูกกระต่ายเหล่านั้นทางอ้อม ปล่อยให้เค้าอยู่กับแม่ของเค้า จนถึงเวลาที่เหมาะสมดีกว่าค่ะ แล้วเราจะได้ลูกกระต่ายที่แข็งแรง สุขภาพและสุขภาพจิตดี อีกด้วย
อีกอย่างนะ ลูกกระต่ายน่ะดูน่ารักก็จริง แต่อายุขนาดนั้น ฟอร์มยังไม่ออกหรอกค่ะ เลือกซื้อหลังจากอายุ 2-3 เดือนไป ยิ่งดี เพราะว่า เราจะเห็นลักษณะเค้าชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าสวยจริงหรือไม่
ลูกกระต่ายหย่านมแล้วหรือหรือไม่
กระต่ายที่อายุน้อยเกินไป ลักษณะจะเป็นดังนี้
ขนจะอ่อน เป็นขนที่ยังไม่ผลัด
ส่วนขาโดยเฉพาะขาหลังจะยังยืดไม่เต็มที่
นิ้วจะยังไม่ค่อยออก นิ้วจะสั้นๆ
หูจะสั้นๆ และแข็ง เมื่อลองสัมผัสเทียบกับกระต่ายโต พันธุ์เดียวกัน
ส่วนใหญ่แล้ว ลักษณะจะนอนทั้งวัน จะเดินไม่คล่อง ยังต้วมเตี้ยม ขี้ตกใจ
ฟัน จะเห็นว่าฟันบางตัวจะยังขึ้นไม่สมบูรณ์ยังเป็นเพียงจุดขาวๆ ยื่นออกมาสั้นๆก็มี
ส่วนกระต่ายอายุมากเกินไป
กระต่ายมีอายุที่เหมาะสมในการผสมเช่นกัน ในบางรายอาจจะเอากระต่ายที่โตแล้ว และเพาะลูกมาระยะหนึ่ง จนใกล้จะหมดเวลาที่เหมาะสม อาจจะมีการคัดกระต่ายทิ้งไป เพื่อหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ใหม่มาแทน แล้วเอากระต่ายแก่มาหลอกขาย เป็นต้น วิธีป้องกัน ในการไม่ไปซื้อกระต่ายอายุมากเกินไปก็คือ
การตรวจดูที่ฟันของกระต่าย ฟันกระต่ายหนุ่มสาวจะมีสีขาวเหมือนไข่มุก แต่ถ้ากระต่ายอายุมาก ยิ่งมากฟันจะยิ่งเหลือง
ส่วนไขมันใต้คาง กระต่ายยิ่งอายุมาก ไขมันใต้คางจะยิ่งหนา
ดูจากเล็บกระต่าย ยิ่งเล็บยาวม้วนมาก อายุจะยิ่งมาก แต่ถ้าหากว่า โดนตัดเล็บไป เราอาจจะตรวจดูจากฐานเล็บ หากความกว้างของฐานเล็บยิ่งมาก กระต่ายจะยิ่งมีอายุมากค่ะ
เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่ที่เรามักจะพบกันบ่อยก็คือ ผู้ขายกระต่ายบางส่วน ได้เอากระต่ายที่ยังไม่หย่านม คือมีอายุไม่เกิน 2 เดือนมาขาย โดยเอามาหลอกขายว่าเป็นกระต่ายแคระ บางตัวอายุเพียงแค่ 3 สัปดาห์ด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงควรจะเรียนรู้วิธีการเลือกซื้อลูกกระต่าย เพื่อจะได้ ไม่โดนหลอกกันอีก
อย่าซื้อเลยค่ะ ลูกกระต่ายที่ยังไม่หย่านมโอกาสรอดน้อยค่ะ เพราะนั่นคือ เรากำลังฆ่าลูกกระต่ายเหล่านั้นทางอ้อม ปล่อยให้เค้าอยู่กับแม่ของเค้า จนถึงเวลาที่เหมาะสมดีกว่าค่ะ แล้วเราจะได้ลูกกระต่ายที่แข็งแรง สุขภาพและสุขภาพจิตดี อีกด้วย
อีกอย่างนะ ลูกกระต่ายน่ะดูน่ารักก็จริง แต่อายุขนาดนั้น ฟอร์มยังไม่ออกหรอกค่ะ เลือกซื้อหลังจากอายุ 2-3 เดือนไป ยิ่งดี เพราะว่า เราจะเห็นลักษณะเค้าชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าสวยจริงหรือไม่
ลูกกระต่ายหย่านมแล้วหรือหรือไม่
กระต่ายที่อายุน้อยเกินไป ลักษณะจะเป็นดังนี้
ขนจะอ่อน เป็นขนที่ยังไม่ผลัด
ส่วนขาโดยเฉพาะขาหลังจะยังยืดไม่เต็มที่
นิ้วจะยังไม่ค่อยออก นิ้วจะสั้นๆ
หูจะสั้นๆ และแข็ง เมื่อลองสัมผัสเทียบกับกระต่ายโต พันธุ์เดียวกัน
ส่วนใหญ่แล้ว ลักษณะจะนอนทั้งวัน จะเดินไม่คล่อง ยังต้วมเตี้ยม ขี้ตกใจ
ฟัน จะเห็นว่าฟันบางตัวจะยังขึ้นไม่สมบูรณ์ยังเป็นเพียงจุดขาวๆ ยื่นออกมาสั้นๆก็มี
ส่วนกระต่ายอายุมากเกินไป
กระต่ายมีอายุที่เหมาะสมในการผสมเช่นกัน ในบางรายอาจจะเอากระต่ายที่โตแล้ว และเพาะลูกมาระยะหนึ่ง จนใกล้จะหมดเวลาที่เหมาะสม อาจจะมีการคัดกระต่ายทิ้งไป เพื่อหาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ใหม่มาแทน แล้วเอากระต่ายแก่มาหลอกขาย เป็นต้น วิธีป้องกัน ในการไม่ไปซื้อกระต่ายอายุมากเกินไปก็คือ
การตรวจดูที่ฟันของกระต่าย ฟันกระต่ายหนุ่มสาวจะมีสีขาวเหมือนไข่มุก แต่ถ้ากระต่ายอายุมาก ยิ่งมากฟันจะยิ่งเหลือง
ส่วนไขมันใต้คาง กระต่ายยิ่งอายุมาก ไขมันใต้คางจะยิ่งหนา
ดูจากเล็บกระต่าย ยิ่งเล็บยาวม้วนมาก อายุจะยิ่งมาก แต่ถ้าหากว่า โดนตัดเล็บไป เราอาจจะตรวจดูจากฐานเล็บ หากความกว้างของฐานเล็บยิ่งมาก กระต่ายจะยิ่งมีอายุมากค่ะ
ผักผลไม้ที่กินได้
วันนี้ จะมีรายการ ผัก และ ผลไม้ ที่ปลอดภัย สำหรับกระต่าย มาฝากค่ะ
ผักผลไม้ ยังไม่ควรให้ในลูกกระต่ายที่ยังเด็กมากๆ เพราะว่า อาจจะปรับตัวไม่ทัน และทำให้ท้องเสียได้ หากลูกกระต่ายหย่านมแล้ว ควรให้หญ้าไปก่อน หลังจาก อีกซัก 2 เดือนหลังหย่านม จึงค่อยหัดให้กินผัก ผลไม้ได้ แต่ไม่ควรให้เยอะ ต้องค่อยๆให้ทีละนิดให้กระต่ายปรับตัวค่ะ
และควรเลี่ยงผักผลไม้ที่มีน้ำมากๆค่ะ
1.ผลไม้
สามารถจะให้ได้ แต่ไม่ควรให้มากเกินไป เพราะผลไม้ส่วนใหญ่จะมีน้ำตาลสูง ซึ่งหากกินมากเกินไป ก็จะไม่ดีต่อระบบย่อยอาหารของกระต่าย หากเทียบกับผักใบเขียวทั้งหลาย แล้ว ผักจะเหมาะกว่า เพราะว่า มีกากใยอาหาร หรือที่เรียกว่า ไฟเบอร์สูง และน้ำตาลต่ำอีกด้วย
แอปเปิล กล้วย(ไม่มีเปลือก) ชมพู่ ลิ้นจี่ ฝรั่ง
สาลี่ แครนเบอรี่ ราสเบอรี่ บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่
เชอรี่ มะละกอ(เม็ดออก)
แคนตาลูป องุ่น(เม็ดออก) ส้ม(ไม่เปรี้ยว)
ลูกแพร์ ลูกพีช พลัม
2.ผักต่างๆ
ผักมีกากใยอาหาร หรือที่เรียกว่า ไฟเบอร์สูง และน้ำตาลต่ำอีก
หน่อไม้ฝรั่ง คะน้า บล็อคเคอรี่ ใบบัวบก คะน้าฮ่องกง
ผักกาดขาว ผักกาด หางหงษ์ ผักกาดหอม parsley สะระแหน่
Arugula Spinash (อย่าบ่อย) ผักชีฝรั่ง
ผักผลไม้ที่ไม่ควรให้บ่อย หรือควรหลีกเลี่ยง
บร็อคโครี่ โหระพา แมงลัก ให้ได้แต่อย่างบ่อย เพราะมีแคลเซี่ยมสูง หากกินน้ำน้อยด้วยจะเสี่ยงแก่การเป็นนิ่ว
แตงโม ให้ได้แต่ไม่ควรให้บ่อย เพราะว่า จะทำให้ท้องเสียได้
ผักกาดแก้ว ควรเลี่ยงเพราะอาจจะทำให้ท้องเสีย
ควรเลี่ยง เพราะน้ำมาก อาจจะทำให้ท้องเสีย
เงาะ เพราะว่า มียาง
ทุเรียน เพราะ ให้พลังงานสูงเกินไป
ขนุน เพราะมียางและหวานมาก
อาโวคาโด เพราะ ให้พลังงานสูงเกินไป
กระหล่ำปลี ห้ามให้กิน เพราะจะทำให้เกิดแกส ในระบบทางเดินอาหาร
แตงกวา แตงร้าน เพราะว่ามียาง และมียาฆ่าแมลงที่เปลือกมาก
มะนาว และ ผลไม้รสเปรี้ยว
มันฝรั่งดิบ
ผักบุ้งไทย เพราะมียางมาก
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆ นะคะ
ผักผลไม้ ยังไม่ควรให้ในลูกกระต่ายที่ยังเด็กมากๆ เพราะว่า อาจจะปรับตัวไม่ทัน และทำให้ท้องเสียได้ หากลูกกระต่ายหย่านมแล้ว ควรให้หญ้าไปก่อน หลังจาก อีกซัก 2 เดือนหลังหย่านม จึงค่อยหัดให้กินผัก ผลไม้ได้ แต่ไม่ควรให้เยอะ ต้องค่อยๆให้ทีละนิดให้กระต่ายปรับตัวค่ะ
และควรเลี่ยงผักผลไม้ที่มีน้ำมากๆค่ะ
1.ผลไม้
สามารถจะให้ได้ แต่ไม่ควรให้มากเกินไป เพราะผลไม้ส่วนใหญ่จะมีน้ำตาลสูง ซึ่งหากกินมากเกินไป ก็จะไม่ดีต่อระบบย่อยอาหารของกระต่าย หากเทียบกับผักใบเขียวทั้งหลาย แล้ว ผักจะเหมาะกว่า เพราะว่า มีกากใยอาหาร หรือที่เรียกว่า ไฟเบอร์สูง และน้ำตาลต่ำอีกด้วย
แอปเปิล กล้วย(ไม่มีเปลือก) ชมพู่ ลิ้นจี่ ฝรั่ง
สาลี่ แครนเบอรี่ ราสเบอรี่ บลูเบอรี่ สตรอเบอรี่
เชอรี่ มะละกอ(เม็ดออก)
แคนตาลูป องุ่น(เม็ดออก) ส้ม(ไม่เปรี้ยว)
ลูกแพร์ ลูกพีช พลัม
2.ผักต่างๆ
ผักมีกากใยอาหาร หรือที่เรียกว่า ไฟเบอร์สูง และน้ำตาลต่ำอีก
หน่อไม้ฝรั่ง คะน้า บล็อคเคอรี่ ใบบัวบก คะน้าฮ่องกง
ผักกาดขาว ผักกาด หางหงษ์ ผักกาดหอม parsley สะระแหน่
Arugula Spinash (อย่าบ่อย) ผักชีฝรั่ง
ผักผลไม้ที่ไม่ควรให้บ่อย หรือควรหลีกเลี่ยง
บร็อคโครี่ โหระพา แมงลัก ให้ได้แต่อย่างบ่อย เพราะมีแคลเซี่ยมสูง หากกินน้ำน้อยด้วยจะเสี่ยงแก่การเป็นนิ่ว
แตงโม ให้ได้แต่ไม่ควรให้บ่อย เพราะว่า จะทำให้ท้องเสียได้
ผักกาดแก้ว ควรเลี่ยงเพราะอาจจะทำให้ท้องเสีย
ควรเลี่ยง เพราะน้ำมาก อาจจะทำให้ท้องเสีย
เงาะ เพราะว่า มียาง
ทุเรียน เพราะ ให้พลังงานสูงเกินไป
ขนุน เพราะมียางและหวานมาก
อาโวคาโด เพราะ ให้พลังงานสูงเกินไป
กระหล่ำปลี ห้ามให้กิน เพราะจะทำให้เกิดแกส ในระบบทางเดินอาหาร
แตงกวา แตงร้าน เพราะว่ามียาง และมียาฆ่าแมลงที่เปลือกมาก
มะนาว และ ผลไม้รสเปรี้ยว
มันฝรั่งดิบ
ผักบุ้งไทย เพราะมียางมาก
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนๆ นะคะ
กระต่ายอ้วนไปรึป่าว
กระต่ายที่อยู่ตามธรรมชาติ
กระต่ายที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ จะต้องออกเดินทางหาอาหาร ต้องหลบหนีจากการถูกตามล่า โดยผู้ล่า เช่น หมาป่า เหยี่ยว และต้องต่อสู้กับอากาศที่หนาวเย็นหรือร้อนจัดตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องอาศัยพลังงาน ดยต้องดึงเอาพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปเอาออกมาใช้ จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอ้วน แถมอาหารก็ยังไม่ใช่พวกแป้งเหมือนอาหารสำเร็จรูป แต่เป็นหญ้า และผักตามธรรมชาติ
แต่กระต่ายบ้าน หรือกระต่ายที่เราเอามาเลี้ยงเป็นเพื่อน ส่วนมากจะโดนขังในกรง บางตัวเจ้าของแทบไม่เคยปล่อยออกมาวิ่งเล่นออกกำลังกายนอกกรงเลย ทั้งๆที่กระต่ายควรจะได้รับอิสรภาพ ได้ออกกำลังกายวิ่งเล่นข้างนอกกรงบ้าง
และอาหารก็ยังไม่เคยต้องหาเอง มีเจ้าของหาอาหารมาให้ บางตัวก็ได้กินแต่อาหารเม็ด ส่วนพวกหญ้า หรือผักใบเขียวแทบจะไม่ได้แตะเลยก็มี ยังงี้จะไม่ให้อ้วนได้ยังไงเนอะ แถมบางตัวก็ยังจะโดยตอนหรือทำหมันเสียอีก ผลก็คือ เจ้ากระต่ายตัวน้อยก็เลยอ้วนปั๊ก
กระต่ายอ้วนไม่ใช่กระต่ายแข็งแรง
แต่กระต่ายอ้วนถึงจะดูน่ารักแต่ไม่ใช่ว่าจะดีนะคะ กระต่ายอ้วนก็เหมือนกับคนอ้วนๆ สุขภาพจะไม่แข็งแรงค่ะ ไม่เหมือนคนที่สุขภาพดีที่ออกกำลังกายอยู่เสมอ ผลที่ตามมาจากการที่กระต่ายอ้วนมากเกินไปก็คือ ทำให้มีปัญหาเรื่องหลอดเลือด และก็ยังมีผลกับพวกข้อต่อต่างๆที่ต้องรับน้ำหนักมากเกินความจำเป็น นอกจากนี้ กระต่ายทีอ้วนมากจนเกินไปจะทำความสะอาดตัวเองได้ไม่สะดวกด้วย การจะก้มไปยังบริเวณก้น เพื่อที่จะกินอึพวงองุ่นก็ทำได้ยาก ยิ่งทำให้กระต่ายไม่ได้รับสารอาหารที่ควรจะได้จากอึพวงองุ่นไปเสียอีก
ดูยังไงว่าอ้วนหรือผอมไป
กระต่ายไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น
รู้ได้งัยกว่ากระต่ายผอมไป
กระต่ายบางตัวที่เป็นกระต่ายขนยาวอาจจะดูยากหน่อย เพราะขนที่ยาวฟูจะหลอกตาให้ดูเหมือนอ้วน แต่ถ้าใครจับอาบน้ำจะเห็นว่าตัวนืดเดียว อันนี้ก็ควรต้องพยายามสังเกตกันหน่อยค่ะ แต่ถ้าเป็นกระต่ายขนสั้นจะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่ากันเยอะเลย วิธีดูง่ายๆว่ากระต่ายผอมไปหรือเปล่าให้ใช้มือคลำดูค่ะ โดยลูบไปบริเวณสันหลัง ถ้าหากเราคลำเจอโครงกระดูกแปลว่าผอมไปเสียแล้วหละ
รู้ได้ยังไงว่าอ้วนไป
กระต่ายที่มีหัวกลม ตัวมักจะป้อมๆ กระต่ายที่อ้วนมักมีเหนียงที่คอมาก นอกจากนี้เราจะเห็นด้วยตาได้ว่า ช่วงไหล่ ขา ว่าใหญ่มีเนื้อมากไปหรือไม่
กระต่ายอ้วนเกินไปทำยังไง
ควรจะลดอาหารเม็ด และให้หญ้าจำพวก Timothy หญ้า hay หรือ หญ้าขนแทน โดยใส่ไว้ในกรงให้กระต่ายสามารถจะกินได้ทั้งวัน และอาจจะเสริมผักใบเขียวต่างๆ หรือ แครอท เพื่อให้กระต่ายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ถ้ากระต่ายทำท่าไม่ยอมกินเลย เราอาจจะให้ต้องใจแข็งค่ะ อย่าใจอ่อนเพราะกระต่ายจะเรียนรู้เองว่าไม่กินก็อด แล้วก็จะพยายามกินเองในที่สุด (แต่การเปลี่ยนอาหารให้เปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ไม่ใช่เปลี่ยนที่เดียวหมด)
นอกจากนี้ก็ควรปล่อยให้กระต่ายได้ออกมาวิ่งเล่นออกกำลังกายนอกกรงบ้างค่ะ (แต่ระวัง สายไฟ ยาฆ่าแมลง พืชมีพิษ สุนัข แมว หรือผู้ล่าอื่นๆ
กระต่ายที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ จะต้องออกเดินทางหาอาหาร ต้องหลบหนีจากการถูกตามล่า โดยผู้ล่า เช่น หมาป่า เหยี่ยว และต้องต่อสู้กับอากาศที่หนาวเย็นหรือร้อนจัดตามธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องอาศัยพลังงาน ดยต้องดึงเอาพลังงานจากอาหารที่กินเข้าไปเอาออกมาใช้ จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องอ้วน แถมอาหารก็ยังไม่ใช่พวกแป้งเหมือนอาหารสำเร็จรูป แต่เป็นหญ้า และผักตามธรรมชาติ
แต่กระต่ายบ้าน หรือกระต่ายที่เราเอามาเลี้ยงเป็นเพื่อน ส่วนมากจะโดนขังในกรง บางตัวเจ้าของแทบไม่เคยปล่อยออกมาวิ่งเล่นออกกำลังกายนอกกรงเลย ทั้งๆที่กระต่ายควรจะได้รับอิสรภาพ ได้ออกกำลังกายวิ่งเล่นข้างนอกกรงบ้าง
และอาหารก็ยังไม่เคยต้องหาเอง มีเจ้าของหาอาหารมาให้ บางตัวก็ได้กินแต่อาหารเม็ด ส่วนพวกหญ้า หรือผักใบเขียวแทบจะไม่ได้แตะเลยก็มี ยังงี้จะไม่ให้อ้วนได้ยังไงเนอะ แถมบางตัวก็ยังจะโดยตอนหรือทำหมันเสียอีก ผลก็คือ เจ้ากระต่ายตัวน้อยก็เลยอ้วนปั๊ก
กระต่ายอ้วนไม่ใช่กระต่ายแข็งแรง
แต่กระต่ายอ้วนถึงจะดูน่ารักแต่ไม่ใช่ว่าจะดีนะคะ กระต่ายอ้วนก็เหมือนกับคนอ้วนๆ สุขภาพจะไม่แข็งแรงค่ะ ไม่เหมือนคนที่สุขภาพดีที่ออกกำลังกายอยู่เสมอ ผลที่ตามมาจากการที่กระต่ายอ้วนมากเกินไปก็คือ ทำให้มีปัญหาเรื่องหลอดเลือด และก็ยังมีผลกับพวกข้อต่อต่างๆที่ต้องรับน้ำหนักมากเกินความจำเป็น นอกจากนี้ กระต่ายทีอ้วนมากจนเกินไปจะทำความสะอาดตัวเองได้ไม่สะดวกด้วย การจะก้มไปยังบริเวณก้น เพื่อที่จะกินอึพวงองุ่นก็ทำได้ยาก ยิ่งทำให้กระต่ายไม่ได้รับสารอาหารที่ควรจะได้จากอึพวงองุ่นไปเสียอีก
ดูยังไงว่าอ้วนหรือผอมไป
กระต่ายไม่ว่าจะอ้วนหรือผอมเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น
รู้ได้งัยกว่ากระต่ายผอมไป
กระต่ายบางตัวที่เป็นกระต่ายขนยาวอาจจะดูยากหน่อย เพราะขนที่ยาวฟูจะหลอกตาให้ดูเหมือนอ้วน แต่ถ้าใครจับอาบน้ำจะเห็นว่าตัวนืดเดียว อันนี้ก็ควรต้องพยายามสังเกตกันหน่อยค่ะ แต่ถ้าเป็นกระต่ายขนสั้นจะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่ากันเยอะเลย วิธีดูง่ายๆว่ากระต่ายผอมไปหรือเปล่าให้ใช้มือคลำดูค่ะ โดยลูบไปบริเวณสันหลัง ถ้าหากเราคลำเจอโครงกระดูกแปลว่าผอมไปเสียแล้วหละ
รู้ได้ยังไงว่าอ้วนไป
กระต่ายที่มีหัวกลม ตัวมักจะป้อมๆ กระต่ายที่อ้วนมักมีเหนียงที่คอมาก นอกจากนี้เราจะเห็นด้วยตาได้ว่า ช่วงไหล่ ขา ว่าใหญ่มีเนื้อมากไปหรือไม่
กระต่ายอ้วนเกินไปทำยังไง
ควรจะลดอาหารเม็ด และให้หญ้าจำพวก Timothy หญ้า hay หรือ หญ้าขนแทน โดยใส่ไว้ในกรงให้กระต่ายสามารถจะกินได้ทั้งวัน และอาจจะเสริมผักใบเขียวต่างๆ หรือ แครอท เพื่อให้กระต่ายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ถ้ากระต่ายทำท่าไม่ยอมกินเลย เราอาจจะให้ต้องใจแข็งค่ะ อย่าใจอ่อนเพราะกระต่ายจะเรียนรู้เองว่าไม่กินก็อด แล้วก็จะพยายามกินเองในที่สุด (แต่การเปลี่ยนอาหารให้เปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปนะคะ ไม่ใช่เปลี่ยนที่เดียวหมด)
นอกจากนี้ก็ควรปล่อยให้กระต่ายได้ออกมาวิ่งเล่นออกกำลังกายนอกกรงบ้างค่ะ (แต่ระวัง สายไฟ ยาฆ่าแมลง พืชมีพิษ สุนัข แมว หรือผู้ล่าอื่นๆ
อึของกระต่าย
เรื่องของอึกระต่ายค่ะ
อย่าเพิ่งร้อง ยี้ นะคะ การเข้าใจเรื่องอึ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลี้ยงกระต่าย
ว่าแต่ว่าตอนนี้มีใครเข้าใจในเรื่องนี้มั่งเอ่ย มีใครตอบได้ไหม ว่าไอ้ก้อนดำๆ กับก้อนก้อนกลมๆ สีน้ำตาลแบบในรูปข้างล่างเนี่ย มันต่างกันยังไง
ล้อมวงกันเข้ามาเลยค่ะ จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง
กระต่ายเป็นสัตว์กินพืช อย่างที่เรารู้กันอยู่ แต่กระบวนการในการย่อยอาหารไม่เหมือนคนนะ เพราะว่าอาหารของเค้าจะเป็นอาหารที่มีกากใยสูง และย่อยยาก เมื่อกระต่ายกินอาหารเข้าไป เค้าจะกัดเป็นชิ้นเล็กๆ และ กลืนลงไป ร่างกายเค้าจะมีกระบวนการในการผสมระหว่างน้ำและอาหาร และของผสมเนี่ยมันจะไหลลงไปในส่วนท้องของกระต่าย
ระหว่างนั้นพวกสารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ที่ดูดซึมได้ง่าย ก็จะโดนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายกระต่าย ส่วนของเสียที่ไม่มีประโยชน์ใดๆอีกแล้ว จะโดนกรองทิ้งออกมาเป็นอึก้อนกลมๆ แข็งๆ สีน้ำตาลนั่นเอง
อึที่เป็นก้อนกลมสีน้ำตาลแข็ง แบบนี้เป็นอึที่เราจะเห็นได้ระหว่างวันค่ะ หากกระต่าย มีระบบย่อยอาหารที่ดี กระต่ายแข็งแรง อึนี้ควรจะเป็นก้อนแข็งค่ะ แต่หากเหลว หรือเป็นน้ำ เนี่ย แสดงว่า กระต่ายเริ่มมีอาการไม่ดีค่ะ เช่น ท้องเสีย ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วนค่ะ เพราะว่า อาการท้องเสีย ถือว่าเป็นเรื่องรุนแรง และ อันตราย สำหรับกระต่ายค่ะ ทำให้น้องต่ายเสียชีวิตได้เร็วมาก
เรื่องของอึกระต่ายค่ะ
อย่าเพิ่งร้อง ยี้ นะคะ การเข้าใจเรื่องอึ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลี้ยงกระต่าย
ว่าแต่ว่าตอนนี้มีใครเข้าใจในเรื่องนี้มั่งเอ่ย มีใครตอบได้ไหม ว่าไอ้ก้อนดำๆ กับก้อนก้อนกลมๆ สีน้ำตาลแบบในรูปข้างล่างเนี่ย มันต่างกันยังไง
ล้อมวงกันเข้ามาเลยค่ะ จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง
กระต่ายเป็นสัตว์กินพืช อย่างที่เรารู้กันอยู่ แต่กระบวนการในการย่อยอาหารไม่เหมือนคนนะ เพราะว่าอาหารของเค้าจะเป็นอาหารที่มีกากใยสูง และย่อยยาก เมื่อกระต่ายกินอาหารเข้าไป เค้าจะกัดเป็นชิ้นเล็กๆ และ กลืนลงไป ร่างกายเค้าจะมีกระบวนการในการผสมระหว่างน้ำและอาหาร และของผสมเนี่ยมันจะไหลลงไปในส่วนท้องของกระต่าย
ระหว่างนั้นพวกสารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ที่ดูดซึมได้ง่าย ก็จะโดนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายกระต่าย ส่วนของเสียที่ไม่มีประโยชน์ใดๆอีกแล้ว จะโดนกรองทิ้งออกมาเป็นอึก้อนกลมๆ แข็งๆ สีน้ำตาลนั่นเอง
อึที่เป็นก้อนกลมสีน้ำตาลแข็ง แบบนี้เป็นอึที่เราจะเห็นได้ระหว่างวันค่ะ หากกระต่าย มีระบบย่อยอาหารที่ดี กระต่ายแข็งแรง อึนี้ควรจะเป็นก้อนแข็งค่ะ แต่หากเหลว หรือเป็นน้ำ เนี่ย แสดงว่า กระต่ายเริ่มมีอาการไม่ดีค่ะ เช่น ท้องเสีย ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วนค่ะ เพราะว่า อาการท้องเสีย ถือว่าเป็นเรื่องรุนแรง และ อันตราย สำหรับกระต่ายค่ะ ทำให้น้องต่ายเสียชีวิตได้เร็วมาก
ยังไม่หมดค่ะ ของผสมที่เหลือ ที่ยังมีประโยชน์แต่ย่อยยาก จะไหลลงไปเพื่อย่อยต่อค่ะ และกระต่ายจะขับออกมาในตอนกลางคืนค่ะ เราเรียกว่า cecotropes หรือ cecal pellets ซึ่งจะมีลักษณะนิ่ม ชื้น และเงา และติดกันเป็นช่อคล้ายๆกับช่อองุ่นค่ะ
กระต่ายมักจะกิน cecotropes ในตอนกลางคืนค่ะ หลังจากที่อึออกมา คราวนี้อาหารที่ดูดซึมไม่ได้ในตอนแรกก็จะสามารถย่อยได้แบบเต็มที่และดูดซึมได้ค่ะ วิธีการเหล่านี้ทำให้กระต่ายได้รับสารอาหารอย่างสมบูรณ์แบบ และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจ และตอบคำถามได้ว่า ทำไมเราจึงเจอกระต่ายในที่ๆ สัตว์หลายๆชนิดไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้
อื้อ น่าคิดเนาะ นี่เรามีเพื่อนที่มีวิธีการย่อยอาหารที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดีเลยนะเนี่ย ดังนั้นอย่าไปรังเกียจเค้านะคะหากเห็นเค้ากำลังก้มหน้างุดๆ กินอึพวงองุ่นอยู่ เพราะว่านี่คือวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอดตามธรรมชาติค่ะ อึพวงองุ่นสีดำๆ เนี่ยไม่เหมือนอึน๊ะ เพราะเป็นสิ่งมีประโยชน์ เป็นเหมือนเป็นยาแคปซูลตามธรรมชาติที่กระต่ายผลิตได้เอง ยังไงยังงั้นเลย
ส่วนไอ้ที่เป็นอึจริงๆ คือก้อนสีน้ำตาลกลมแข็งๆแห้งๆ นั่นต่างหาก อันนี้กระต่ายไม่กินค่ะ
อย่าเพิ่งร้อง ยี้ นะคะ การเข้าใจเรื่องอึ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลี้ยงกระต่าย
ว่าแต่ว่าตอนนี้มีใครเข้าใจในเรื่องนี้มั่งเอ่ย มีใครตอบได้ไหม ว่าไอ้ก้อนดำๆ กับก้อนก้อนกลมๆ สีน้ำตาลแบบในรูปข้างล่างเนี่ย มันต่างกันยังไง
ล้อมวงกันเข้ามาเลยค่ะ จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง
กระต่ายเป็นสัตว์กินพืช อย่างที่เรารู้กันอยู่ แต่กระบวนการในการย่อยอาหารไม่เหมือนคนนะ เพราะว่าอาหารของเค้าจะเป็นอาหารที่มีกากใยสูง และย่อยยาก เมื่อกระต่ายกินอาหารเข้าไป เค้าจะกัดเป็นชิ้นเล็กๆ และ กลืนลงไป ร่างกายเค้าจะมีกระบวนการในการผสมระหว่างน้ำและอาหาร และของผสมเนี่ยมันจะไหลลงไปในส่วนท้องของกระต่าย
ระหว่างนั้นพวกสารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ที่ดูดซึมได้ง่าย ก็จะโดนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายกระต่าย ส่วนของเสียที่ไม่มีประโยชน์ใดๆอีกแล้ว จะโดนกรองทิ้งออกมาเป็นอึก้อนกลมๆ แข็งๆ สีน้ำตาลนั่นเอง
อึที่เป็นก้อนกลมสีน้ำตาลแข็ง แบบนี้เป็นอึที่เราจะเห็นได้ระหว่างวันค่ะ หากกระต่าย มีระบบย่อยอาหารที่ดี กระต่ายแข็งแรง อึนี้ควรจะเป็นก้อนแข็งค่ะ แต่หากเหลว หรือเป็นน้ำ เนี่ย แสดงว่า กระต่ายเริ่มมีอาการไม่ดีค่ะ เช่น ท้องเสีย ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วนค่ะ เพราะว่า อาการท้องเสีย ถือว่าเป็นเรื่องรุนแรง และ อันตราย สำหรับกระต่ายค่ะ ทำให้น้องต่ายเสียชีวิตได้เร็วมาก
เรื่องของอึกระต่ายค่ะ
อย่าเพิ่งร้อง ยี้ นะคะ การเข้าใจเรื่องอึ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลี้ยงกระต่าย
ว่าแต่ว่าตอนนี้มีใครเข้าใจในเรื่องนี้มั่งเอ่ย มีใครตอบได้ไหม ว่าไอ้ก้อนดำๆ กับก้อนก้อนกลมๆ สีน้ำตาลแบบในรูปข้างล่างเนี่ย มันต่างกันยังไง
ล้อมวงกันเข้ามาเลยค่ะ จะเล่ารายละเอียดให้ฟัง
กระต่ายเป็นสัตว์กินพืช อย่างที่เรารู้กันอยู่ แต่กระบวนการในการย่อยอาหารไม่เหมือนคนนะ เพราะว่าอาหารของเค้าจะเป็นอาหารที่มีกากใยสูง และย่อยยาก เมื่อกระต่ายกินอาหารเข้าไป เค้าจะกัดเป็นชิ้นเล็กๆ และ กลืนลงไป ร่างกายเค้าจะมีกระบวนการในการผสมระหว่างน้ำและอาหาร และของผสมเนี่ยมันจะไหลลงไปในส่วนท้องของกระต่าย
ระหว่างนั้นพวกสารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ที่ดูดซึมได้ง่าย ก็จะโดนดูดซึมเข้าสู่ร่างกายกระต่าย ส่วนของเสียที่ไม่มีประโยชน์ใดๆอีกแล้ว จะโดนกรองทิ้งออกมาเป็นอึก้อนกลมๆ แข็งๆ สีน้ำตาลนั่นเอง
อึที่เป็นก้อนกลมสีน้ำตาลแข็ง แบบนี้เป็นอึที่เราจะเห็นได้ระหว่างวันค่ะ หากกระต่าย มีระบบย่อยอาหารที่ดี กระต่ายแข็งแรง อึนี้ควรจะเป็นก้อนแข็งค่ะ แต่หากเหลว หรือเป็นน้ำ เนี่ย แสดงว่า กระต่ายเริ่มมีอาการไม่ดีค่ะ เช่น ท้องเสีย ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาโดยเร่งด่วนค่ะ เพราะว่า อาการท้องเสีย ถือว่าเป็นเรื่องรุนแรง และ อันตราย สำหรับกระต่ายค่ะ ทำให้น้องต่ายเสียชีวิตได้เร็วมาก
ยังไม่หมดค่ะ ของผสมที่เหลือ ที่ยังมีประโยชน์แต่ย่อยยาก จะไหลลงไปเพื่อย่อยต่อค่ะ และกระต่ายจะขับออกมาในตอนกลางคืนค่ะ เราเรียกว่า cecotropes หรือ cecal pellets ซึ่งจะมีลักษณะนิ่ม ชื้น และเงา และติดกันเป็นช่อคล้ายๆกับช่อองุ่นค่ะ
กระต่ายมักจะกิน cecotropes ในตอนกลางคืนค่ะ หลังจากที่อึออกมา คราวนี้อาหารที่ดูดซึมไม่ได้ในตอนแรกก็จะสามารถย่อยได้แบบเต็มที่และดูดซึมได้ค่ะ วิธีการเหล่านี้ทำให้กระต่ายได้รับสารอาหารอย่างสมบูรณ์แบบ และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจ และตอบคำถามได้ว่า ทำไมเราจึงเจอกระต่ายในที่ๆ สัตว์หลายๆชนิดไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้
อื้อ น่าคิดเนาะ นี่เรามีเพื่อนที่มีวิธีการย่อยอาหารที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดีเลยนะเนี่ย ดังนั้นอย่าไปรังเกียจเค้านะคะหากเห็นเค้ากำลังก้มหน้างุดๆ กินอึพวงองุ่นอยู่ เพราะว่านี่คือวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอดตามธรรมชาติค่ะ อึพวงองุ่นสีดำๆ เนี่ยไม่เหมือนอึน๊ะ เพราะเป็นสิ่งมีประโยชน์ เป็นเหมือนเป็นยาแคปซูลตามธรรมชาติที่กระต่ายผลิตได้เอง ยังไงยังงั้นเลย
ส่วนไอ้ที่เป็นอึจริงๆ คือก้อนสีน้ำตาลกลมแข็งๆแห้งๆ นั่นต่างหาก อันนี้กระต่ายไม่กินค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)